เลิฟ คือคนตัดสายสะดือทีม ‘อินทรีเหล็ก’ แก่ โอซิล ตั้งแต่เมื่อค.ศ. 2009 โลดแล่นนาน 9 ปีมีโอกาสร่วมงานกันกว่า 91 นัดถือเป็นคีย์แมนชุดแชมป์ ฟีฟ่า เวิลด์ คัพ 2014
อย่างไรก็ตามก่อนทัวร์นาเมนต์ฟุตบอลโลก 2018 ที่รัสเซีย กระแสการเมืองในประเทศรุนแรงแล้วสตาร์วัย 31 ปีดันไปเคลื่อนไหวสนับสนุนประธานาธิบดีเรเซป เทย์ยิป เออร์โดกัน ของตุรกี ตามพื้นเพครอบครัวชาวเติร์ก
แน่นอนสร้างความไม่พอใจต่อคนตุรกีจำนวนมากที่มาตั้งถิ่นฐานในเยอรมัน เนื่องจากมีความคิดต่อต้านผู้นำจอมแข็งกร้าวท่านนี้ จนกลายเป็นกระแสกดดันไปยัง สมาคมฟุตบอลเยอรมัน (เดเอฟเบ) ให้ช่วยจัดการเพลย์เมกเกอร์ เฟเนร์บาห์เช่
ไหนจะสื่อมวลชนดอยช์เด้งรับลูกจุดกระแส โอซิล เป็นหัวโจกแข้ง ‘ดำ-แดง-ทอง’ ที่ไม่ใช่ผิวขาวร่วมกับ เยโรม บัวเต็ง, อันโตนิโอ รือดิเกอร์ หรือ อิลคาย กุนโดกัน แบ่งกั๊กแบ่งเหล่าจากขาใหญ่เลือดบริสุทธิ์เช่น มานูเอล นอยเออร์, โทนี่ โครส หรือ มัทส์ ฮุมเมิ่ลส์ จนเกิดความแตกแยกในแคมป์เก็บตัว
กดดันจน โอซิล น้อยใจขอถอนตัวจากทีมชุดนั้น แล้วประกาศหันหลังเลิกเล่นทีมชาติไปเลย ทิ้งไว้เพียงบาดเแผลทางจิตใจและคำถามมากมายถึงการถูกปฏิบัติอย่างไม่เป็นธรรม
แน่นอนว่าบุนเดสเทรนเนอร์เลิฟ ก็ยังไม่มีโอกาสนั่งพูดคุยแบบเปิดอกกับ เมซุต นับเป็นปมคาใจต่อเขาเช่นกันดังนั้นโอกาสที่จะสละเก้าอี้บุนเดสเทรนเนอร์ทาง ‘โยกี้’ ก็พูดกับสื่อมวลชนเรื่องต้องการเคลียร์
“เมซุต หัวหลังให้ทีมชาติโดยไม่ปรึกษาผมก่อนเลย แล้วมันคือความเสียใจฐานะปุถุชนของผม” เลิฟ เปิดปากในงานแถลงข่าวสรุปทัวร์นาเมนต์
“เป็นเวลาที่เหมาะสมซึ่งเราจะได้พบหน้าหรือพูดคุยกันอีกครั้ง มันคงต้องมีสักวันเพื่อพูดคุยเปิดอกเพื่อเคลียร์ทุกอย่างหมดเปลือก”
“ความทรงจำที่มีต่อกันจากนั้นของเราก็คงเหลือแต่เรื่องดีๆ ยกให้หมอนั่นคือคนสำคัญอย่างยิ่ง คือนักเตะที่ยอดเยี่ยมและเปี่ยมทักษะ”
ทีมชาติเยอรมันกำลังจะส่งมอบตำแหน่งเทรนเนอร์ให้ ฮันซี่ ฟลิค ส่วนเรื่องขุมกำลังถึงตอนนี้เลือดเก่าที่เตรียมรีไทร์หลังจบ ยูโร 2020 คือ โทนี่ โครส