วิเคราะห์บอล / วิเคราะห์บอลวันนี้

ฆาบี กาเยย่า ผู้จัดการทีมชั่วคราวของ บียาร์เรอัล ยังคงไร้เงาตัวเจ็บหน้าเดิมไม่ว่าจะเป็น อันเดรส เฟร์นันเดซ (2 นัด), เซร์คิโอ อาร์เซนโฆ่ (-) 2นายทวาร, รูเบน เซเมโด้ (3 นัด) กองหลัง และสองมิดฟิลด์ บรูโน่ โซเรียโน่ (-)และ ซามู กัสตีเญโฆ่ (9 นัด 1 ประตู) ส่วนแท็คติกที่คาดว่าจะใช้ ฆาบี กาเยย่า เตรียมเตรียมส่งตัวชูโรงอย่าง เซดริก บากัมบู และ การ์ลอส บักก้า จับคู่ในแดนหน้าในระบบ 4-3-1-2 โดยมี ปาโบล ฟอร์นัลส์ เป็นเพลย์เมกเกอร์

บียาร์เรอัล (4-3-1-2) : มาเรียโน่ บาร์โบซ่า ; มาริโอ กัสปาร์, ดานิเอเล่ โบเนร่า, บิคตอร์ รุยซ์, ฆัวเม่ คอสต้า ; มานู ตริกูเอรอส, โรดรี, โรเบร์โต้ โซเรียโน่ ; ปาโบล ฟอร์นัลส์ ; เซดริก บากัมบู, การ์ลอส บักก้า

สตานิเมียร์ สตอยลอฟ กุนซือ อัสตาน่า จะไม่มีกองกลางตัวรุกอย่าง ลาสซโล เคลนเฮสเลอร์ ที่บาดเจ็บที่เข่าตั้งแต่เดือนสิงหาคมเพียงรายเดียวเท่านั้น ส่วนแข้งแกนหลักที่เหลือยังพร้อมลงประจำตำแหน่งพร้อมกับวาง จูเนียร์ คาบานังก้า ยืนค้ำในแดนหน้าโดยมี เซริคซาน มูชิคอฟ คอยยืนเป็นหน้าตัวต่ำในระบบ 4-2-3-1 ส่วนผังแดนกลางจะได้เห็น อิวาน มาเยฟสกีย์ ยืนคุมจังหวะร่วมกันกับ อับซาล เบย์เซเบคอฟ ตามคาด

อัสตาน่า (4-2-3-1) : เนน๊าด อีริค ; อีกอร์ ชิตอฟ, เยฟเกนี พอสต์นิคอฟ, มาริน อนิชิช, ดมิทรี ชอมโก้ ; อิวาน มาเยฟสกีย์, อับซาล เบย์เซเบคอฟ, แพทริค ทวูมาซี, โรมัน มูร์ตาซาเยฟ, เซริคซาน มูชิคอฟ -จูเนียร์ คาบานังก้า

พาล ดาร์ได เทรนเนอร์หนุ่มไฟแรงของ แฮร์ธ่า เบอร์ลิน ยังคงไม่มีชื่อของ นิคลาส สตาร์ค (9 นัด/1 ประตู)แนวรับ วลาดิเมียร์ ดาริด้า (7 นัด), วาเลนติน สต๊อคเกอร์ (3 นัด)สองแดนกลางที่ยังบาดเจ็บกันครับเซ็ต นอกจากนี้ เวดัด อิบิเซวิช หัวหอกตัวเก๋าจะหมดสิทธิ์ลงช่วยทีมหลังติดโทษแบนในเกมนี้และจะเป็น ดาวี เซลเก้ หอกดาวรุ่งลงทำหน้าที่แทน ส่วนผังแนวรุกจะใช้ ซาโลมง กาลู เป็นตัวชูโรงร่วมกับ แพร์ ซิลยาน เชลเบร็ด และ มิตเชลล์ ไวเซอร์

แฮร์ธ่า เบอร์ลิน (4-2-3-1) : โทมัส คราฟท์ - ปีเตอร์ เพการิค, เซบาสเตียน ลังคัมป์, คาริม เรกิ๊ก, มาร์วิน แพล็ตเท่นฮาร์ด - ฟาเบียน ลุสเตนแบร์เกอร์, เพอร์ สเคลเบร็ด - มิตเชลล์ ไวเซอร์, แพร์ ซิลยาน เชลเบร็ด, ซาโลมง กาลู - ดาวี เซลเก้

โฆเซ่ อังเคล ซิกันด้า ผู้จัดการทีม แอธฯบิลเบา จะหมดสิทธิ์ใช้งาน อูไน นูนเญซ(12นัด) ประการหลังตัวหลักที่ติดโทษแบนในเกมนี้รวมไปถึงแข้งเดี้ยงหน้าเก่าอย่าง อิเกร์ มูเนียอิน (6 นัด 1 ประตู), เบนญัติ (6 นัด)สองแดนกลางที่ยังสลัดเดี้ยงไม่หลุดเสียที ส่วนแทคติคในเกมนี้จะได้เห็นพวกเขามาในระบบ 4-2-3-1 โดยมี อาริตซ์ อาดูริตซ์ หัวหอกตัวเก๋าลงยืนหน้าเป้าโดยมี อินญากี้ วิลเลี่ยมส์, ราอูล การ์เซีย และ อินญิโก้ กอร์โดบา เป็นสามประสานแนวรุก ส่วนผังแดนกลางจะได้เห็น มิเกล เบสก้า พ้นโทษแบนลงคุมเกมร่วมกับ ซาน โฆเซ่

แอธฯบิลเบา (4-2-3-1) : เกป้า ; ออสการ์ เดอ มาร์กอส, อายเมริค ลาปอร์เต้, ซาเบียร์ เอตเซต้า, มิเกล บาเลนเซียก้า ; มิเกล ซาน โฆเซ่, มิเกล เบสก้า ; อินญากี้ วิลเลี่ยมส์, ราอูล การ์เซีย, อินญิโก้ กอร์โดบา ; อาริตซ์ อาดูริตซ์

สตีฟ ค็อตเตริลล์ ผู้จัดการทีม เบอร์มิงแฮม จะไม่มีแข้งเดี้ยงอย่าง เคร็ก การ์ดเนอร์ กับ สตีเฟ่น กลีสัน สองมิดฟิลด์ตัวกลางที่ยังไม่สมบูรณ์พร้อมลงสนาม จึงไม่แปลกที่จะได้เห็น ค็อตเตริลล์ ลงอุดตำแหน่งในโซนมิดฟิลด์ไปก่อน ส่วนทีเด็ดที่พอจะฝากความหวังได้ในเกมนี้ยังต้องหวังพึ่ง แซม กัลลาเกอร์ (12 นัด/1 ประตุ), ยอร์ต้า เปเลเตียโร่ (7 นัด) และ ชี อดัมส์ (8 นัด/2 ประตู)ลงผนึกกำลังร่วมกัน

แกรี่ ม็องค์ เทรนเนอร์ของ มิดเดิ้ลสโบรช์ หลุดฟอร์มพ่ายมาจากเกม ลีดส์ 1-2 มาก็จริงทว่าเกมนี้จะได้เห็นพวกเขายึดแข้งแกนหลักส่วนใหญ่ลงบู๊กันครบเซ็ตนำโดย ไซรัส คริสตี้ ฟูลแบ็คตัวเก่งที่เพิ่งช่วยทีมชาติไอร์แลนด์ในศึกฟุตบอลโลกแถมยังมีข่าวดีเมื่อ รูดี้ เกสเตเด้ ที่เจ็บก่อนหน้านี้จะคัมแบ็คเข้าทีมแต่น่าจะเป็นได้แค่ตัวสำรองไปก่อน ส่วนแผงแนวรุกแน่นอนว่า สจ๊วต ดาวน์นิ่ง (11 นัด) กับ มาร์วิน จอห์นสัน (10 นัด/1 ประตู)จะถูกรับบทเป็นทีเด็ดขึ้นเกมรุกโดยมี บริตต์ อัสซ็อมบาลองก้า (17 นัด/9 ประตู) เตรียมล่าตาข่าย

คาร์ลอส คาร์วัลญัล เทรนเนอร์ใหญ่ของ เชฟฟิลด์ เว้นส์เดย์ ออกมาเผยด้วยตัวเองว่า รอสส์ วัลเลซ จอมทัพตัวเก๋าจะสลัดจากอาการป่วยออกสตาร์ทตัวจริงอีกครั้ง เพื่อประสานงานกับ แกรี่ ฮูเปอร์ (17 นัด/7 ประตู) กับ จอร์แดน โรเด้ห์ (14 นัด/2 ประตู)ที่จะถูกวางเป็นหน้าเป้าโดยมี คีย์แรน ลี (11 นัด/3 ประตู) และ แบร์รี่ แบนแนน (17 นัด)คอยซัพพอร์ทอยู่ด้านหลัง

มิค แม็คคาร์ธี่ย์ บอสใหญ่เจ้าบ้าน อิปสวิช จะหมดสิทธิ์ใช้งาน โจนาส คนุ๊ดเซ่น กองหลังชาวเดนมาร์กที่ติดโทษแบนในเกมนี้ ทว่ายังพอมีข่าวดีเมื่อ ทอมมี่ สมิทธิ์ แนวรับสัญชาตินิวซีแลนด์จะกลับมาออกสตาร์ทเป็นตัวจริงอีกครั้งโดยมีขุมกำลังแนวรุกอย่าง โจ การ์เนอร์ (15 นัด/4 ประตู), เบอร์เซตนต์ เซลิน่า (12 นัด/5 ประตู) และ เดวิด แม็คโกล์ดริก (14 นัด/6 ประตู)เป็นตัวชูโรงพร้อมกับวาง มาร์ติน แว็กฮอร์น ที่ซัดไปแล้ว 8 ประตูลงจบสกอร์

ส่วนทีมเยือน โอลิมเปียกอส ของกุนซือ ทากิส เลโมนิส จะมีลุ้นก็แค่โควต้าไปเล่น ยูโรป้า ลีก ในเกมนี้เท่านั้น อย่างไรก็ด้วยสภาพความพร้อมที่ไร้แข้งตัวเจ็บ แต่ก็มีแข้งสำรองบางตำแหน่งลงออกสตาร์ทตัวจริงในเกมนี้โดยเฉพาะ พานาโจตีส ทัคต์ซิดิส ที่จะลงมารับบทมิดฟิดล์ตัวรับ พร้อมกับใช้ เมห์ดี้ คาร์เชล่า-กอนซาเลซ กับ ดีโอโก้ ฟิเกราส เป็นตัวขึ้นเกมริมเส้นโดยมี คอสตาส ฟอร์ตูนิส มิดฟิลด์ตัวรุกที่ดันขึ้นมาเล่นหน้าเป้า

โอลิมเปียกอส (4-5-1) : ซิลวิโอ โปรโต้ ; โอมาร์ เอลอับเดลลาอุย, อัลเบร์โต้ โบเตีย, บียอร์น เอ็นเกลส์, เลโอนาร์โด คูตริส ; พานาโจตีส ทัคต์ซิดิส - ดีโอโก้ ฟิเกราส,วาดิส โอดิดา โอโฟเอ้,ฌักส์ อเล็กซิส โรมาโอ, เมห์ดี้ คาร์เชล่า-กอนซาเลซ ; คอสตาส ฟอร์ตูนิส

ฮอร์เก้ เฮซุส ผู้จัดการทีม สปอร์ติ้ง ลิสบอน จำเป็นต้องชนะเกมนี้เผื่อไปลุ้นเข้ารอบ ชปล. กันต่อในนัดสุดท้าย ส่วนความพร้อมก่อนลงสนามเกมนี้จะไร้เงา เซบาสเตียน โคอาเตส ปราการหลังที่ติดโทษแบน รวมไปถึง เฌเรมี่ มาติเยอ(10นัด/1ประตู) และ โจนาธาน ซิลวา(6นัด)แข้งโซนรับที่ยังเดี้ยงกันครบเซ็ต ส่วนแข้งแกนหลักในนัดจะใช้ บาส ดอสท์ ลงเป็นทีเด็ดในแนวหน้าโดยมี อลัน รุยซ์ เป็นตัวสแตนบาย พร้อมกับวาง ,เกลสัน มาร์ตินส์,ดาเนียล โพเดนซ์ และ บรูโน่ เซซาร์ เป็นสามประสานแนวรุก

สปอร์ติ้ง ลิสบอน (4-2-3-1) : รุย ปาตริซิโอ - สเตฟาน ริสตอฟสกี้, โทเบียส ฟิเกเรโด้, อันเดร ปินโต้, ฟาบิโอ โกเอนเตรา - โรดริโก้ บัตตาเกลีย, บรูโน่ แฟร์นานเดส,เกลสัน มาร์ตินส์,ดาเนียล โพเดนซ์, บรูโน่ เซซาร์ - บาส ดอสท์

เอร์เนสโต้ บัลเบร์เด้ กุนซือ "เจ้าบุญทุ่ม" ไม่มีอะไรให้กดดันนักเพราะเพียงแค่ผลเสมอน่าจะทำให้พวกเขาการันตีผ่านเข้ารอบในฐานะแชมป์กลุ่มไปแบบสบายๆ ส่วนความพร้อมก่อนเกมแน่นอนว่ายังคงไร้ชื่อของ อุสมาน เดมเบเล่ ปีกวัย 20 ที่รอการพักฟื้นรวมถึง 3 กองกลาง อันเดร โกเมซ, เซร์จี้ โรเบร์โต้ และ ราฟินญ่า ที่กอดคอกันเดี้ยง ส่วนผังแดนกลางเตรียมวาง เซร์คิโอ บุสเก็ตส์ เป็นตัวยืนพร้อมกับส่ง เปาลินโญ่ ออกสตาร์ทเป็นตัวจริง ส่วนแดนหน้า หลุยส์ ซัวเรซ และ ลิโอเนล เมสซี่ ยังคงลงเป็นตัวทีเด็ด

บาร์เซโลน่า (4-4-2) : มาร์ค อังเดร แทร์ ชเตเก้น ; เนลซอน เซเมโด้, เคราร์ด ปีเก้, ซามูแอล อุมตีตี้, ฆอร์ดี้ อัลบา ; ปาโบล อัลกาเซร์, เปาลินโญ่, เซร์คิโอ บุสเก็ตส์, อันเดรส อิเนียสต้า ; หลุยส์ ซัวเรซ, ลิโอเนล เมสซี่

มัสซิมิเลียโน่ อัลเลกรี นายใหญ่ประจำทีมยังคงมีงานหนักให้ต้องดิ้นรนในศึก ชปล. โดยเฉพาะการเปิดรังรับมือทีมอย่าง บาร์เซโลน่า ซึ่งเกมนี้แน่นอนว่าพวกเขายังขาด เมห์ดี้ เบนาเตีย และ เบเนดิคต์ โฮเวเดส ปราการหลังตัวยืมค่าย ชาลเก้ ที่ยังบาดเจ็บอยู่ ส่วนตัวหลักที่เหลือต่างพร้อมลงประจำตำแหน่งนำโดยมี ดั๊กลาส คอสต้า, เปาโล ดีบาล่า และ มาริโอ มานด์ซูคิช เป็นสามประสานแนวรุกส่วน กอนซาโล่ ฮิกัวอิน พร้อมรับหน้าที่ล่าตาข่ายตามคาด

ยูเวนตุส (4-2-3-1) : จานลุยจิ บุฟฟ่อน - มัตเตีย เด ชีโญ่, จอร์โจ้ คิเอลลินี่, อันเดรีย บาร์ซาญี่, อเล็กซ์ ซานโดร - เคลาดิโอ มาร์คิซิโอ , ซามี่ เคดิร่า - ดั๊กลาส คอสต้า, เปาโล ดีบาล่า, มาริโอ มานด์ซูคิช - กอนซาโล่ ฮิกัวอิน

ส่วนทีมหัวตารางอย่าง คาร์ดิฟฟ์ ซิตี้ ยังคงรักษามาตราฐานการเล่นได้ค่อนข้างดีแม้จะมีหลุดๆไปบ้างบางนัด ส่วนความพร้อมก่อนเกมจะหมดสิทธิใช้งาน โอมาร์ บ็อกเล่ (5 นัด/ ประตู)กองหน้าที่ติดโทษแบนก่อนเกม ส่วนในรายของ เคนเน็น โซโฮเร่ (12 นัด/ 3 ประตู) และ เมนเดซ ไลง์ (16 นัด/ 4 ประตู)สองแนวรุกตัวหลักยังต้องลุ้นว่าจะฟิตก่อนลงสนามและจะเป็น แดนนี่ วอร์ด(15นัด/3ประตู)กองหน้าตัวสำรองที่จะลงมาขัดตาทัพในฐานะตัวจริงบ้าง

เจ้าบ้าน บาร์นสลีย์ จำเป็นต้องรักษาความคงเส้นคงวาให้ได้อย่างต่อเนื่องหลังจากที่พวกเขาสามารถเก็บแต้มได้ตลอด 4 เกมหลังสุด(ชนะ2เสมอ2) แถมเกมนี้ไม่มีปัญหาให้กังวลมากนักเพราะจะขาดเพียงแค่ อดัม แจ็คสัน (12 นัด/ 1 ประตู) กองหลังตัวหลักที่มีอาการบาดเจ็บรบกวนอยู่เท่านั้น แถมยังจะได้ ลีลอย อิสกรูฟ ปีกตัวจี๊ดชาวเวลส์สลัดเดี้ยงกลับมาซ้อมได้แล้วทว่ายังต้องลุ้นว่าฟิตพอออกสตาร์ทหรือไม่

ส่วนทีมเยือน เบอร์ตัน ฟอร์มโดยรวมจัดว่าย่ำแย่กว่าเยอะหลังเปิดบ้านพ่าย เชฟฟิลด์ ยูไนเต็ด 1-3 ทำให้ตลอด 5 นัดหลังพวกเขาพ่ายไปแล้วถึง 4 แมตช์ ส่วนความพร้อมก่อนเกม จะมีเพียง เลียม บอยส์ (-) และ จอห์น เบรย์ฟอร์ด (6 นัด) ที่ยังมีอาการบาดเจ็บรบกวน ทว่าแกนหลักจากเกมที่แล้วต่างพร้อมออกสตาร์ทได้ไม่มีปัญหา

เจ้าบ้าน เบรนท์ฟอร์ด ยุติฟอร์มร้อนแรงต่อเนื่องหลังบุกไปพ่าย คาร์ดิฟฟ์ ซิตี้ 2-0 ทั้งที่ 3 เกมก่อนหน้านี้พวกเขาซิวชัยรวด 3 นัดติด ขณะที่ความพร้อมก่อนเกมจะไม่มีแน่ๆคือ ริโก้ เฮนรี่ (8 นัด) และ เฮนดริก ดัลส์การ์ด (14 นัด) 2แนวรับที่ยังบาดเจ็บ ส่วนแข้งที่น่าจะถูกส่งลงสนามน่าจะได้เห็น แซร์จี้ กานอส อดีตดาวรุ่งชาวสเปนของ ลิเวอร์พูล ลงเป็นทีเด็ดเกมนี้

ส่วนทีมเยือน เปรสตัน ผลงานยังคงย่ำแย่ต่อเนื่องหลังแพ้ไปถึง 3 จาก 5 เกมท้าย ส่วนความพร้อมในเกมนี้กุนซือ อเล็กซ์ นีล ยังคงหมดสิทธิ์ใช้งาน ทอม คล๊ากค์, เกรก คันนิ่งแฮม, ทอมมี่ สเปอร์ และฌอน แม็คไกว์ ตัวรุกแกนหลักที่ยังบาดเจ็บ ส่วน จอร์แดน ฮูกิล(16นัด/5ประตู) ดาวยิงเบอร์หนึ่งของทีมยังคงถูกวางเป็นทีเด็ดตามเดิม

เจ้าบ้าน บริสตอล ซิตี้ ของกุนซือ ลี จอห์นสัน แม้จะสะดุดเจ๊า ชฟ เว้นส์ฯ 0-0 ในเกมล่าสุด ทว่ามองจากภาพรวมยังจัดเป็นบอลฟอร์มดุเพราะก่อนหน้านี้ซิวชัยรวดมา 4 เกมติด ส่วนสภาพความพร้อมในเกมนี้จะไม่มีแน่ๆก็คือ แกรี่ โอนีล, เยนส์ เฮกเลอร์, เออรอส ปิซาโน่ และฟามาร่า ดีดฮิลู กองหน้าเบอร์หนึ่งของทีมที่ยังบาดเจ็บ ส่วนตัวตัวจริงในเกมนี้เตรียมวาง มิลาน กูร์ยิช(4นัด/1ประตู)เป็นหัวหอกตัวเป้าพร้อมด้วยสองแกนหลักแนวรุก โจ ไบรอัน(17นัด) กับ บอบบี้ รีด(17นัด/9ประตู)คอยปั้นเกมในระบบ 4-2-3-1

ส่วนทีมเยือน ซันเดอร์แลนด์ ของกุนซือ คริส โคลแมน มีปัญหาเพิ่มเติมเข้ามาหลัง ดันแคน วัทมอล์ (6 นัด) และ โจนาธาน วิลเลี่ยม (9 นัด) ต้องเช็คความฟิตกันอีกครั้งหลังบาดเจ็บเล็กน้อยมาจากเกม เสมอ มิลล์วอลล์ 2-2 ส่วนความพร้อมในเกมนี้จะได้เห็น ลูวิส กราบแบน(13นัด/9ประตู)ถูกวางเป็นหน้าเป้าในระบบ 4-2-3-1 โดยมี คัลลัม แม็คมานามาน(9นัด),ไอเดน แม็คเกียดี้(14นัด/4ประตู) และ จอร์จ ฮันนี่แมน(15นัด/2ประตู)

สตีฟ บรูซ ผู้จัดการทีม แอสตัน วิลล่า จะไม่มีตัวเจ็บอย่าง จอห์น เทอรี่ (16 นัด/ 1 ประตู), โจนาธาน ค็อกเจีย (8 นัด/ 1 ประตู), สก๊อต โฮแกน (14 นัด) และ อันเดร กรีน (5 นัด/ 1 ประตู)ที่ยังเดี้ยงด้วยกันทั้งหมด ส่วนแผงแดนกลางในนัดนี้จะได้เห็น ไมล์ เยดินัค จับคู่กับ คอเนอร์ ฮูลิเฮน หลังเพิ่งโชว์ฟอร์มได้ดีมากับทีมชาติ ออสเตรเลีย ส่วนแดนหน้าจะได้เห็น คีแนน เดวิส(14นัด/2ประตู)เป็นหัวหอกในระบบ 4-2-3-1

ส่วนทีมเยือน มาริบอร์ ของกุนซือ ดาร์โก้ มิลานิซ จำเป็นต้องเช็คความฟิตของ ลูก้า ซาโฮวิซ ตัวรุกฟอร์มแรงและ เดนิส สมี กองหลังวัย 23 ปีที่อาจมีเซอร์ไพรส์มีชื่อในเกมนี้ แต่คาดว่าจะมีชื่อเป็นเพียงตัวสำรองเท่านั้น ส่วนมีเด็ดในแดนหน้าจะได้เห็น มาร์คอส ตาวาเรส ดาวยิงบราซิเลี่ยนวัย 33 ปีถูกวางเป็นหัวหอกในระบบ 4-2-3-1 โดยมี เกรกอร์ บาจเด้, วาลอน อาห์เมดี้ และ ดามยาน โบฮาร์ เป็นสามประสานแนวรุก

มาริบอร์ (4-2-3-1) : ยาสมิน ฮันดาโนวิซ - มาร์ติน มิเลก, อเล็คซานเดอร์ รายเซวิซ, มาร์โก้ ซูเลอร์, มิตย่า วิเลอร์ - มารูวาน คาบ้า, บลาซ เวอร์โฮเว็ก - เกรกอร์ บาจเด้, วาลอน อาห์เมดี้, ดามยาน โบฮาร์ - มาร์คอส ตาวาเรส

มัสซิโม่ คาร์เรร่า ผู้จัดการทีม สปาร์ตัก มอสโก จะหมดสิทธิ์ใช้งานแน่ๆก็คือ จอร์จี้ ทิกิเยฟ, อาร์เตม ติโมเฟเยฟ และ โรมัน ซอบนิน ที่เดี้ยงยาวมาก่อนหน้านี้รวมไปถึง อเล็กซานเดอร์ ซาเมดอฟ (9 นัด/ 1 ประตู) ปีกขวาวัย 33 ปี และ จอร์จี้ จิเคีย(3 นัด) แนวรับที่ติดโทษแบนที่จะหมดสิทธิ์ชวดเพิ่มเติมเข้ามา ส่วนแกนหลักที่เหลือส่วนใหญ่ต่างอยู่กันพร้อมหน้านำโดย หลุยซ์ อาเดรียโน่ หัวหอกโดยมี กินซี่ โพรเมส,อิเวลิน โปปอฟ และ ลอเรนโซ่ เมลกาเรโฆ่ แข้งทีมชาติปารากวัยเป็นสามประสานแนวรุก

สปาร์ตัก มอสโก (4-2-3-1) : อเล็กซานเดอร์ เซลิคอฟ ; อังเดร เยสเชนโก้, เซอร์ดาร์ ทาสชี่, ซัลวาตอเร บ็อคเค็ตติ, ดมิทรี่ กอมบารอฟ ; แฟร์นานโด, เดนิส กลูชาคอฟ, ลอเรนโซ่ เมลกาเรโฆ่,อิเวลิน โปปอฟ, กินซี่ โพรเมส ; หลุยซ์ อาเดรียโน่

ส่วนกุนซือใหญ่อย่าง เจอร์เก้น คล็อปป์ บุกมาประเทศสเปนครั้งนี้พร้อมกับแนวรุกจัดเต็มค่อนข้างแน่หลังเพิ่งถล่ม เซาแฮมป์ตัน 3-0 ในเกมลีกมาหมาดๆ แน่นอนว่าเวทียุโรปจะได้เห็น โลริส คารีอุส ลงมาเฝ้าเสาอีกครั้ง เช่นเดียวกับ ฟิลิปเป้ คูตินโญ่ ที่เพิ่งคัมแบ็คออกสตาร์ทตัวจริงเกมล่าสุดจะมีชื่อเป็นตัวจริงในเกมนี้ร่วมกับ จอร์แดน เฮนเดอร์สัน และ เอ็มเร่ ชาน โดยมี โมฮาเหม็ด ซาล่าห์, โรแบร์โต้ เฟียร์มิโน่ และ ซาดิโอ มาเน่ เป็นสามประสานในแดนหน้า ส่วน อดัม ลัลลาน่า เดินทางไปกับเพื่อนร่วมทีมด้วยหลังสลัดเดี้ยงแต่น่าจะมีชื่อเป็นสำรองเท่านั้น

ลิเวอร์พูล (4-3-3) : โลริส คารีอุส - โจ โกเมซ, แรกนาร์ คลาวาน, เดยัน ลอฟเรน, อัลเบร์โต้ โมเรโน่ - เอ็มเร่ ชาน, จอร์แดน เฮนเดอร์สัน, ฟิลิปเป้ คูตินโญ่ - โมฮาเหม็ด ซาล่าห์, โรแบร์โต้ เฟียร์มิโน่, ซาดิโอ มาเน่

กุนซือ เอดูอาร์โด้ เบริซโซ่ ยังคงหมดสิทธิ์ใช้งาน ฆัวกิน กอร์เรอา(2นัด) แนวรุกตัวหลักที่เจ็บ ส่งผลให้ เฆซุส นาบาส ปีกตัวเก๋าจะได้ออกสตาร์ทเป็นตัวจริง ทำให้ โนลิโต้ ตัวจริงจากนัดที่แล้วจะหลุดเป็นตัวสำรองไปโดยปริยาย ส่วนแนวรับอย่าง ดาเนี่ยล การ์ริโก้ (3 นัด)ยังคงไร้เงาในเกมนี้เช่นกัน ส่วนทีเด็ดในแดนหน้าเกมนี้จะได้เห็น วิสซัม เบน เยดเดอร์ ลงล่าตาข่ายในแดนหน้า โดยมี กีโด ปิซซาโร่ และ สเตเว่น เอ็นซ็องซี่ คอยคุมจังหวะในแดนกลางพร้อมกับวาง เอแวร์ บาเนก้า เป็นเพลย์เมกเกอร์ในเกมนี้

เซบีญ่า (4-2-3-1) : ดาบิด โซเรีย ; เซบาสเตียน คอร์เชีย, ไซม่อน ชาร์, แกลร์กมงต์ ล็องเล่ต์, เซร์กิโอ เอสกูเดโร่ ; กีโด ปิซซาโร่, สเตเว่น เอ็นซ็องซี่ : ปาโบล ซาราเบีย, เอแวร์ บาเนก้า, เฆซุส นาบาส ; วิสซัม เบน เยดเดอร์

ส่วนทีมเยือน พัลไมรัส เริ่มยกระดับฟอร์มขึ้นมาอย่างต่อเนื่องหลังเก็บชัยมา 2 เกมติด ส่วนสภาพความพร้อมก่อนลงสนามยังคงไร้เงา 2 เเข้งตัวหลักอย่าง บอร์ฆ่า (22นัด6ลูก) ตัวรุกคคนสำคัญและดาวซัลโวอันดับ 2 ของทีม รวมถึง มาตี้ เมย์เก้(25นัด1ลูก) ส่วนทีเด็ดแนวรุกจะใช้ เดย์เวอร์สัน(17นัด/7ประตู)คอยล่าตาข่ายในเกมนี้

เจ้าบ้าน อาไว ยังคงจมอยู่อันดับ 19 หลังไม่ชนะใครมาต่อเนื่องตลอด 5 เกมหลัง ซึ่งในเกมนี้แน่นอนว่าจะไร้เงา ดั๊กลาส ฟรีดริช(26นัด)นายทวารมือหนึ่งที่ถูกคาดโทษ ส่วนแกนหลักที่เหลือต่างพร้อมลงประจำตำแหน่งไม่ว่าจะเป็น จูเนียร์ ดูตร้า (28 นัด/9 ประตู)หัวหอกตัวเก่งและ โรมูโล่ (31 นัด/3 ประตู)เพลย์เมกเกอร์คนสำคัญ

ส่วนทีมเยือน ปอนเต้ เปรต้า เขยิบขึ้นมาหนึ่งอันดับหลังเอาชนะ แอต.พาราเนนเซ่ 2-1 ได้ในบ้านของตัวเอง ทว่าเกมนี้ยังจะไม่มีชื่อ เอลตัน(26นัด/1ประตู)กองกลางตัวรับคนสำคัญที่ติดโทษแบนในเกมนี้ แถม เรนาโต้ กาย่า (15 นัด 1 ประตู) กองกลางวัย 33 รวมถึงปราการหลัง อาตูร์ (1 นัด) และ เชา วิตอร์ (-) ยังกลับมาช่วยทีมไม่ได้ ส่วนผู้เล่นที่คาดว่าจะลงสนามยังคงวาง ลุคก้า ดาวซัลโวประจำทีมที่กดไป 11 ประตู ประสานงานกับ เอเมอร์สัน ชีค (23 นัด 4 ประตู และ เลโอ เมโล่ (19 นัด 1 ประตู)

เจ้าบ้าน ฟลูมิเนนเซ่ ผลงานยังออกทะเลต่อเนื่องหลังแพ้ติดต่อกัน 2 เกมติด ทว่ายังพอมีข่าวดีเมื่อแบ็คซ้ายตัวเก่งอย่าง มาร์ลอน จะพ้นโทษแบนกลับมาลงตัวจริงอีกครั้งเช่นเดียวกับ เรนาโต้ ชาเวส เซ็นเตอร์ฮาล์ฟจะพ้นโทษแบนลงยืนเซนเตอร์ได้ไม่มีปัญหา ส่วนทีเด็ดแผงแนวรุกแน่นอนว่าจะได้เห็น เฮนริเก้ ดูราโด้ (29 นัด/17 ประตู),กุสตาโว่ สการ์ป้า (35 นัด/2 ประตู)และ มาร์กอส จูเนียร์(23นัด/2ประตู) หัวหอกตัวสำรองออกสตาร์ทเป็นสามแดนหน้า

ส่วนทีมเยือน มิดทิลแลนด์ ทีมรองจ่าฝูงยังคงรักษามาตราฐานทีมแกร่งไว้อย่างต่อเนื่องหลังชนะมา 4 จาก 5 เกมหลังสุดแถมเพิ่งบุกไปชนะ เฮลซิงเกอร์ 2-1 ในเกมล่าสุด ส่วนความพร้อมพวกเขายังมีข่าวดีเมื่อ ราสมุส คริสเตียนเซ่น(13นัด/2ประตู)แนวรับตัวหลักและ ริลวาน ฮัสซัน(10นัด)จอมทัพส่อแววสลัดเดี้ยงทันในเกมนี้

เจ้าบ้าน อัลบอร์ก เพิ่งคัมแบ็คกลับมาคว้าชัยได้อีกครั้งหลังหลุดฟอร์มพ่าย โอบี เดนเซ่ 0-2 ก่อนจะกลับมาชนะ โฮโบร 0-1 ได้ในเกมล่าสุด ส่วนความพร้อมก่อนลงสนามแน่นอนว่ายังจะไม่มี ไมเคิ่ล แลนซิงค์(-)นายทวารตัวสำรองและ แม็คนัส คริสเตียนเซ่น(8นัด/1ประตู)กองกลาง ส่วนนักเตะคนสำคัญอย่าง ยาค็อป เอลฮ์มันน์(14นัด/1ประตู)หมดสิทธิ์คุมแผงแนวรับตามคาด

ส่วนทีมเยือน ไกเซอร์สเลาเทิร์น อยู่ในช่วงย่ำแย่ไม่แพ้กันหลังแพ้ไปถึง 3 จาก 5 นัดหลังและยังไม่ชนะใคร ส่วนสภาพความพร้อมจะไม่มีแน่ๆก็คือกองหน้าขาประจำอย่าง โอซายาเมน โอซาเว่(10นัด)หัวหอกไนจีเรี่ยนที่ยังบาดเจ็บ มาเทอุช เพอร์ซีบิลโก้(1นัด)กองหน้าตัวสำรองและ กอร์เรียอา(5นัด)แนวรับที่ยังไม่มีบทบาทมากนักในซีซํ่นนี้

เจ้าบ้าน ดินาโม เดรสเดน ยังคงมีปัญหาในเรื่องฟอร์มการเล่นหลังไม่ชนะใครมา 4 เกมติด(เสมอ1แพ้4) แถมความพร้อมในเกมนี้จะต้องลุ้นหนักในเรื่องแนวรับหลังนักเตะตัวเก่งอย่าง เฮย์เซ่(7นัด/2ประตู)ดันติดโทษแบนในเกมนี้ รวมไปถึง กอนท์เธอร์(4นัด)กองหลังและ ออสมัน(8นัด/2ประตู)แข้งแนวรุกตัวชูโรงที่ยังไม่มีกำหนดคัมแบ็คในเวลานี้

กีเก้ ซาเตียน กุนซือ เรอัล เบติส ยังคงหลุดฟอร์มต่อเนื่องหลังไม่ชนะใครมา 2 เกมติด(เสมอ1แพ้1)ก่อนพักเบรคทีมชาติ ส่วนความพร้อมก่อนเกมแน่นอนว่ายังคงไร้เงา ซูแฮร์ เฟดดัล (7 นัด 2 ประตู)แนวรับและ โจเอล แคมพ์เบลล์ (3 นัด 1 ประตู)ปีกเลือดคอสตาริก้าที่ยังบาดเจ็บ อย่างไรก็ดีเหล่าที่เด็ดแนวรุกที่เหลือต่างพร้อมลงประจำตำแหน่งและจะเป็น คริสเตียน เตโญ่ ที่ได้โอกาสก่อน เซร์คิโอ เลออน ลงประสานกับ อันโตนิโอ ซานาเบรีย และ ฆัวกิน ซานเชซ ในแผนสามกองหน้า

เรอัล เบติส (4-3-3) : อันโตนิโอ อาดาน ; อันโตนิโอ บาร์รากัน, อิสซ่า ม็องดี้, ฆอร์ดี้ อามัต, ริซ่า ดูร์มิซี่ ; ริยาด บูเดอบูซ, อันเดรส กวาร์ดาโด้, ฆาบี การ์เซีย ; คริสเตียน เตโญ่, อันโตนิโอ ซานาเบรีย, ฆัวกิน ซานเชซ

โฆเซ่ หลุยส์ เมนดิลิบาร์ นายใหญ่เออิบาร์ ยังต้องพาลูกทีมกลับฝั่งให้ได้หลังบุกไปพ่าย เรอัล โซเซียดัด 1-3 ในเกมล่าสุด ส่วนความพร้อมในเกมนี้จะได้ตัว ดานี่ การ์เซีย กองกลางตัวหลักพ้นโทษแบนกลับมาลงสนามร่วมกับ โฆอัน ฆอร์แดน โดยมี คริสเตียน ริเบร่า และ ทาคาชิ อินูอิ คอยขึ้นเกมริมเส้นให้ เซร์จี้ เอ็นริช และ กีเก้ การ์เซีย ยืนหน้าเป้า ส่วนตัวเจ็บหน้าเก่าแน่นอนว่ายังคงไร้ชื่อ อิบัน รามิส (4 นัด),ฟราน ริโก้, อีวี่ (2 นัด)และ กอนซาโล่ เอสกาลันเต้ (8 นัด)ตามเดิม

เออิบาร์ (4-4-2) : มาร์โก ดมิโตรวิช ; อันเดร์ กาป้า, อานาอิตซ์ อาร์บิญ่า เปาโล โอลิเวียร่า, โฆเซ่ อังเคล : ดานี่ การ์เซีย, โฆอัน ฆอร์แดน, คริสเตียน ริเบร่า, ทาคาชิ อินูอิ ; เซร์จี้ เอ็นริช, กีเก้ การ์เซีย

กุนซือ อัลบาโร่ ยังคงนำทีมติดลมบนหลังโกยชัยมา 2 นัดติด แม้สภาพทีมจะขาดแกนหลักไปหลายรายก็ตามไม่ว่าจะเป็น ไบรอัน โอลิบัน (9 นัด)กองหลัง,มาร์กอส โลเปซ (7 นัด), ฮิดัลโก้ (7 นัด)และ ราฟิดาน อับดุลลาห์ (12 นัด)แข้งโซนแดนกลาง แต่จุดที่น่าเป็นห่วงคงหนีไม่พ้น ดาบิด บาร์รัล (10 นัด 3 ประตู)กองหน้าเบอร์หนึ่งวัย 34 ปีดันไม่มีชื่อในเกมนี้ทำให้ต้องฝากความหวังไว้ที่ โฆเซ่ คาร์ริลโล่(10นัด/2ประตู)

ปาโก้ เฮร์เรร่า นายใหญ่ประจำทีมยังคงต้องพาทีมกลับคืนฟอร์มเก่งให้ได้อีกครั้งหลังทำได้เพียงเสมอ เรอัล บายาโดลิด 1-1 ในบ้านส่งผลให้พวกเขาเก็บชัยเพียงเกมเดียวจาก 5นัดหลังสุด ส่วนความพร้อมในเกมนี้จะขาดกองกลางตัวเก่งอย่าง เอกาสซี่ (11 นัด 1 ประตู) ส่วน อัลบาเรซ (-)ที่เดี้ยงต่อเนื่องไม่ส่งผลต่อทีมมากนัก

ส่วนทีมเยือน กรานาด้า ย่ำแย่ไม่แพ้กันหลังเปิดรังพ่าย เซบีญ่า เบ 1-2 ทว่าให้วัดจากฟอร์ม 5 เกมหลังสุดของพวกเขายังสามารถเอาชนะคู่แข่งไปได้ 2 นัด(ชนะ2เสมอ1แพ้2) ส่วนความพร้อมในเกมนี้พวกเขาค่อนข้างฟูลทีมในตำแหน่งโซนแนวรับและแดนกลาง ส่วนกองหน้าจะไม่มีชื่อของ เกร์มัน ซานเชซ (2 นัด)และ อาเดรียน รามอส (4 นัด)ที่ยังบาดเจ็บด้วยกันทั้งคู่

เจ้าบ้าน กัลตูรัล เลโอเนซ่า กำลังอยู่ในช่วงย่ำแย่อย่างแท้จริงเพราะนอกจากจะไม่ชนะใครมา 5 เกมหลังสุดแล้ว นัดล่าสุดยังบุกไปพ่าย เตเนริเฟ่ 0-2 ทว่ายังดีที่สภาพความพร้อมโดยรวมยังถือว่าไม่เสียหายนักเพราะจะขาดเพียงแค่ อาห์เม็ด ยาสเซอร์ (4 นัด 1 ประตู) แนวรับและ ซามู (-)กองกลางที่ยังไม่ได้เล่นในซีซั่นนี้

ฆาบี กาเยย่า ผู้จัดการทีมชั่วคราวของ บียาร์เรอัล พาทีมทำผลงานได้ดีไม่น้อยหลังชนะไปถึง 4 จาก 5 เกมท้าย ซึ่งเกมนี้พวกเขายังคงมีปัญหาเรื่องการจัดทัพต่อไปเมื่อตัวเจ็บทั้ง 5 รายก่อนหน้านี้ต่างยังไม่มีกำหนดคัมแบ็ค ทว่ายังพอมีข่าวดีเมื่อ มานู ตริกูเอรอส และ อัลบาโร่ กอนซาเลซ จะพ้นโทษแบนกลับมาช่วยทีมได้อีกครั้งบวกกับเกมนี้จะมีการเปลี่ยนแปลงอีกหนึ่งจุดโดยการส่ง ฆัวเม่ คอสต้า ลงตัวจริงในตำแหน่งแบ็คซ้าย

บียาร์เรอัล (4-3-1-2) : มาเรียโน่ บาร์โบซ่า ; มาริโอ กัสปาร์, ดานิเอเล่ โบเนร่า, บิคตอร์ รุยซ์, ฆัวเม่ คอสต้า ; มานู ตริกูเอรอส, โรดรี, โรเบร์โต้ โซเรียโน่ ; ปาโบล ฟอร์นัลส์ ; เซดริก บากัมบู, การ์ลอส บักก้า

เจ้าบ้าน แอธฯบิลเบา มีปัญหาให้ต้องปวดหัวเพราะนอกจากตัวเจ็บอย่าง อิเกร์ มูเนียอิน (6 นัด 1 ประตู) กับ เบนญัติ (6 นัด)ที่ยังลงสนามไม่ได้แล้ว ยังจะขาด มิเกล เบสก้า กองกลางตัวหลักที่ติดโทษแบนอีก ทำให้ความหวังในการกลับมาทำผลงานให้ดีอีกครั้งหลังแพ้มา 3 เกมติดจะตกไปอยู่ที่ อาริตซ์ อาดูริตซ์, อินญากี้ วิลเลี่ยมส์ และ อายเมริก ลาปอร์ต้า ในโซนแนวรุกอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

แอธฯบิลเบา (4-2-3-1) : เกป้า ; ออสการ์ เดอ มาร์กอส, อายเมริค ลาปอร์เต้, อูไน นูนเญซ, มิเกล บาเลนเซียก้า ; มิเกล ซาน โฆเซ่, อันเดร์ อิตูร์ราสเป้ ; อินญากี้ วิลเลี่ยมส์, ราอูล การ์เซีย, อินญิโก้ กอร์โดบา ; อาริตซ์ อาดูริตซ์

ฆวน รามอน มูนญิซ เทรนเนอร์ เลบานเต้ จะไม่มี เจฟเฟอร์ซอน เลร์มา กองกลางตัวหลักที่ติดโทษแบน และจะได้เห็น โรแบร์ ลงเสียบตำแหน่งแทน ส่วนตัวเจ็บแน่นอนว่ายังคงไร้เงาของ อีบัน โลเปซ (3 นัด),โรเคร์ มาร์ตี้ (-), นาโน่ เมซ่า (4 นัด) และ อเล็กซ์ อาเลเกรีย (9 นัด)ในเวลานี้ ทำให้แดนหน้าจำเป็นต้องฝากความหวังไว้ที่ เอเนส อูนัล หอกดาวรุ่งต่อไป

เลบานเต้ (4-2-3-1) : ราอูล เฟร์นานเดซ ; เปโดร โลเปซ, เซร์คิโอ ปอสตีโก้, เชม่า โรดริเกซ, โตนโญ่ ; โรแบร์ ปีแอร์, โฆเซ่ กัมปานญ่า ; เฆซอน, เอนิส บาร์ดี, โฆเซ่ หลุยส์ โมราเลส ; เอเนส อูนัล

ปาโก้ อาเยสเตราน เทรนเนอร์ประจำทีม จะกลับมาใช้บริการ โฆนาธาน บีเอร่า กองกลางตัวเก่งที่สลัดเดี้ยงกลับมาลงสนาม ส่วนในรายของ อเลน ฮาลิโลวิช และกองหน้าสำรอง อุสมาน ทานนาเน่ ยังคงบาดเจ็บในยามนี้ ส่วนผู้แกนหลักที่เหลืออย่าง บิคตอร์ บีโตโล่, โฆนาธาน กาเยรี่ และ โลอิก เรมี่ จะถูกวางเป็นสามประสานแดนหน้า

ลาส พัลมาส (4-3-3) : ราอูล ไลโซอิน ; มิเชล มาเกโด้, เมาริซิโอ เลมอส, เปโดร บีกาส, ดานี่ กาสเตยาโน่ ; โฆนาธาน บีเอร่า, เซร์กี ซามเปร์, บิเซนเต้ โกเมซ ; บิคตอร์ บีโตโล่, โฆนาธาน กาเยรี่, โลอิก เรมี่

มาร์เซลิโน่ เทรนเนอร์บาเลนเซีย เกมนี้จะได้ ซิโมเน่ ซาซ่า ดาวยิงตัวเก่งฟิตกลับมาล่าตาข่าย ขณะที่คู่เซ็นเตอร์แบ็คยังคงเป็น กาเบรียล เปาลิสต้ ปักหลักกับ เอเซเกล การาย โดยมี เฆซอน มูริโญ่ เป็นตัวสอดแทรก ส่วนแข้งที่จะหมดสิทธิ์ใช้งานในเกมนี้จะไม่มีชื่อของ ฆาบี กิมิเนซ (-)ที่ยังเดี้ยงยาวรวมไปถึง ดาเนี่ยล ปาเรโฆ แข้งแดนกลางที่จะถูกคาดโทษหมดโอกาสลงสนาม

บาเลนเซีย (4-4-2) : เนโต้ ; มาร์ติน มอนโตย่า, กาเบรียล เปาลิสต้า, เอเซเกล การาย, โฆเซ่ กาย่า ; การ์ลอส โซเลร์, ดาเนี่ยล ปาเรโฆ่, จอฟเฟรย์ ก็องด็อกเบีย, กอนกาโล่ กูเอเดส ; โรดริโก้ โมเรโน่, ซิโมเน่ ซาซ่า

กุนซือ กีเก้ ฟลอเรส ซานเชซ จะหมดสิทธิ์ใช้งานนักเตะเพียงแค่ มาร์ก นาบาร์โร่ แบ็คขวาดาวรุ่งที่ยังบาดเจ็บ แต่ทว่าปราการหลังอย่าง มาริโอ เอร์โมโซ่ ยังมีโทษแบนติดตัวในเกมนี้ด้วยจึงต้องส่ง นัลโด้ ลงขันแนวรับแทน ส่วนแกนหลักที่เหลือต่างลงประจำตำแหน่งอีกครั้งโดยมีโฆเซ่ ฆูราโด้, ปาโบล ปิอัตติ และ เลโอ บาปติสเตา เป็นสามประสานในแดนกลางโดยมี เกราร์ด โมเรโน่ ลงยืนหน้าเป้า

เอสปันญ่อล (4-2-3-1) : เปา โลเปซ ; บิคตอร์ ซานเชซ, ดาบิด โลเปซ, นัลโด, อารอน มาร์ติน ; เซร์จี้ ดาเดร์, ฆาบี ฟูเอโก้ ; เลโอ บาปติสเตา, โฆเซ่ มานูเอล ฆูราโด้, ปาโบล ปิอัตติ ; เคราร์ด โมเรโน่

กุนซือ กาอิซก้า การิตาโน่ จะได้ รูเบน มาร์ติเนซ ผู้รักษาประตูมือหนึ่งหายเจ็บกลับมาเป็นตัวเลือก แต่ยังคงไว้ใจให้ คอสเทล พันติลิม่อน ทำหน้าที่ต่อ ส่วนในแดนกลาง การ์เลส กิล และ อาเดรียน โลเปซ ต่างกลับมาซ้อมเบาๆได้แล้ว แต่ก็ยังไว้ใจผู้เล่นชุดเดิมมากกว่าและจะได้ ลูกัส เปเรซ ลงล่าตาข่ายเป็นตัวจริงต่อเนื่อง โดยมี ซากาเรีย บักกาลี่ และ เฟเด การ์ตาเบีย ขึ้นเกมรุก

ลา กอรุนญ่า (4-2-3-1) : คอสเทล พันติลิม่อน ; เคราร์ด บาเลนติน, ซิดเน่, ฟาเบียน ชาร์, ลูซินโญ่ ; กีเยร์เม่ ซานโต๊ส, เซลโซ่ บอร์เกส ; เฟเด การ์ตาเบีย, เฟเดริโก้ บัลเบร์เด้, ซากาเรีย บักกาลี่ ; ลูกัส เปเรซ

เจ้าบ้าน มาลาก้า มีปัญหาเรื่องตัวผู้เล่นไม่น้อยซึ่งเกมนี้จะไม่มี ซดราฟโก้ คูซมาโนวิช ที่เจ็บหนัก รวมถึงกองกลางคนสำคัญอย่าง เรซีโอ้ ดันมาติดโทษแบนหลังจากสะสมใบเหลืองครบโควต้า ทำให้โฉมหน้าในแนวรุกต้องฝากความหวังไว้ที่ เกโก้, ฆวนปี้, กอนซาโล่ กาสโตร โดยมี อาดัลลเบร์โต้ เปนารันด้า เป็นหน้าเป้า

มาลาก้า (4-2-3-1) : โรเบร์โต้ ฆิมิเนซ ; โรเบร์โต้ โรซาเลส, ลุยส์ เอร์นานเดซ, ปอล บายาสเซ่, ฆวน เปเรซ ; อาเดรียน กอนซาเลซ, เอสเตบัน รลอน ; เกโก้, ฆวนปี้, กอนซาโล่ กาสโตร ; อาดัลลเบร์โต้ เปนารันด้า

ส่วนทีมเยือน เรอัล มาดริด ของกุนซือ ซีเนดีน ซีดาน ยังคงต้องยกระดับฟอร์มการเล่นของทีมให้อยู่ในระดับสูงอีกครั้งให้ได้ ซึ่งเกมนี้แน่นอนว่าจะไร้เงาแข้งเดี้ยงหน้าเก่าอย่าง เกย์ลอร์ นาวาส นายทวาร, แกเร็ธ เบล ปีกเลือดเวลส์ และ มาเตโอ โควาซิช แข้งชาวโครแอตที่ยังไม่มีชื่อในเกมนี้ ทว่ายังมีข่าวดีเมื่อ ราฟาแอล วาราน เรียกความฟิตพร้อมปักหลักร่วมกับ เซร์คิโอ รามอส ในแผงแนวรับ ส่วนทีเด็ดแดนหน้าแน่นอนว่าจะเป็น คริสเตียโน่ โรนัลโด้ และ คาริม เบนเซม่า ผนึกกำลังร่วมกัน

เรอัล มาดริด (4-3-1-2) : กิโก้ กาซีย่า ; ดาเนี่ยล การ์บาฆัล, ราฟาแอล วาราน, เซร์คิโอ รามอส, มาร์เซโล่ ; โทนี่ โครส, กาเซมิโร่, ลูก้า โมดริช ; อิสโก้ ; คริสเตียโน่ โรนัลโด้, คาริม เบนเซม่า

ดีเอโก้ ซิเมโอเน่ กุนซือ แอตฯมาดริด ยังคงต้องหาทางกลับเข้าฝั่งให้ได้หลังชนะเพียงแค่ 2 จาก 8 เกมหลังสุดเท่านั้น ซึ่งในเกมนี้พวกเขามีคิวทำศึกดาร์บี้แมตช์กับ เรอัล มาดริด ทว่ายังดีที่ความพร้อมก่อนเกมค่อนข้างฟูลทีมหลังส่อได้ เฟลิเป้ หลุยส์ ที่น่าจะผ่านความฟิตลงตัวจริงในเกมนี้ เช่นเดียวกับ โกเก้ น่าจะผ่านความฟิตกลับมาผนึกกำลังกับ โธมัส ปาร์เตย์, กาบี และ ซาอูล ญีเกซ ในโซนแดนกลางได้อย่างไร้ปัญกา พร้อมกับใช้ อังเคล กอร์เรอา และ อองตวน กรีซมันน์ เป็นตัวจบสกอร์ตามคาด

แอตฯมาดริด (4-4-2) : ยาน โอบลัค ; ฆวนฟราน, ดีเอโก้ โกดิน, สเตฟาน ซาวิช, ฟิลิเป้ หลุยส์ ; โกเก้, โธมัส ปาร์เตย์, กาบี, ซาอูล ญีเกซ ; อังเคล กอร์เรอา, อองตวน กรีซมันน์

ส่วนทีมเยือน เซลต้า บีโก้ เกมนี้ขุมกำลังหลักต่างอยู่กันพร้อมหน้าและไม่มีใครบาดเจ็บกลับมาจากช่วงพักเบรคทีมชาติ อย่างไรก็ดีแนวรับอย่าง ฟากุนโด้ รอนกาย่า (2 นัด)ก็ยังคงต้องรอการคัมแบ็คจากปัญหาบาดเจ็บต่อไป ส่วนแข้งแนวรุกตัวเก่งอย่าง ยาโก้ อัสปาส, ดาเนี่ยล วาสส์, มักซี่ โกเมซ และ ปิโอเน่ ซิสโต้ ต่างพร้อมลงช่วยทีม จะมีก็แต่ ยาโก้ อัสปาส ที่บาดเจ็บเล็กน้อยแต่คาดว่าไม่น่ามีปัญหา

เซลต้า บีโก้ (4-4-2) : รูเบน บลังโก้ ; อูโก้ มาโย่, กุสบาโบ กาบราล, เซร์จี้ โกเมซ, จอนนี่ อ๊อตโต้ ; ดาเนี่ยล วาส, สตานิสลาฟ ลาบ็อตก้า, โฆซาเบด เอร์นานเดซ, ปิโอเน่ ซิสโต้ ; ยาโก้ อัสปาส, มักซี่ โกเมซ

กุนซือ เอดูอาร์โด้ เบริซโซ่ จะหมดสิทธิ์ใช้งาน ฆัวกิน กอร์เรอา แนวรุกตัวหลักที่ยังบาดเจ็บและจะได้เห็น โนลิโต้ ลงขึ้นเกมรุกแทนต่อไปโดยมี ปาโบล ซาราเบีย และ เอแวร์ บาเนก้า ผนึกกำลังร่วมกันในแนวรุกโดยมี วิสซัม เบน เยดเดอร์ เป็นหน้าเป้า ส่วนแบ็คขวาจะมีการปรับเปลี่ยนโดยการใช้ กาเบรียล เมร์กาโด้ จะได้ออกสตาร์ทก่อน เซบาสเตียน กอร์เชีย

เซบีญ่า (4-2-3-1) : ดาบิด โซเรีย ; กาเบรียล เมร์กาโด้, ไซม่อน ชาร์, แกลร์กมงต์ ล็องเล่ต์, เซร์กิโอ เอสกูเดโร่ ; กีโด ปิซซาโร่, สเตเว่น เอ็นซ็องซี่ : ปาโบล ซาราเบีย, เอแวร์ บาเนก้า, โนลิโต้ ; วิสซัม เบน เยดเดอร์

เอร์เนสโต้ บัลเบร์เด้ เทรนเนอร์ทัพ "ต่างดาว" ยังคงไม่มีรายงานคัมแบ็คของเหล่าแข้งเดี้ยงไม่ว่าจะเป็น 3 กองกลาง อันเดร โกเมซ, เซร์จี้ โรเบร์โต้ และ ราฟินญ่า รวมไปถึง อุสมาน เดมเบเล่ ปีกวัย 20 ที่กว่าจะกลับมาน่าจะยาวถึงช่วงต้นปีเลยทีเดียว ทำให้โฉมหน้าแนวรุกเกมนี้ยังคงหนีไม่พ้น หลุยส์ ซัวเรซ และ ลิโอเนล เมสซี่ ที่ต้องแบกทีมต่อไป

บาร์เซโลน่า (4-4-2) : มาร์ค อังเดร แทร์ ชเตเก้น ; เนลซอน เซเมโด้, เคราร์ด ปีเก้, ซามูแอล อุมตีตี้, ฆอร์ดี้ อัลบา ; ปาโบล อัลกาเซร์, อีวาน ราคิติช, เซร์คิโอ บุสเก็ตส์, อันเดรส อิเนียสต้า ; หลุยส์ ซัวเรซ, ลิโอเนล เมสซี่

อาเซียร์ การีตาโน่ กุนซือ เลกาเนส โชคไม่ดีที่ต้องเจอของแข็งเป็นเกมที่สามติดต่อกันหลังก่อนนี้นี้เพิ่งพ่าย เซบีญ่า และ บาเลนเซีย มาหมาดๆ ส่วนสภาพความพร้อมในเกมนี้โชคดีที่พวกเขาไม่มีรายงานตัวเจ็บเข้ามาแถมยังจะได้ รูเบน เปเรซ พ้นโทษแบนกลับมายึดตัวจริงคืนจากดาร์โก้ บราซานัช อีกด้วย ส่วนแนวรุกจะได้เห็น นอร์ดิน อัมรบัต, เคลาดิโอ บัววิว และ อเล็กซานเดอร์ ซีมานอฟสกี้ ยืนเป็นสามประสานแดนหน้าตามคาด

เลกาเนส (4-3-3) : อีวาน กูเอร์ย่า ; โฆเซบา ซัลดูอา, ดิมิตริออส ซิโอวาส, เอเซเกว มูนอซ, ดีเอโก้ ริโก้ ; เอราโซ่, รูเบน เปเรซ, กาเบรียล ปีเรส ; นอร์ดิน อัมรบัต, เคลาดิโอ บัววิว, อเล็กซานเดอร์ ซีมานอฟสกี้

ทีมเยือน อลาเบส ยังคงวางแทคติคเก่ง 3-5-2 เป็นแผนหลักของพกเขาต่อเนื่องแถมยังมีข่าวดีได้ การ์ลอส บิการาย พ้นโทษแบนกลับมาออกสตาร์ทเป็นจริงอีกครั้งในตำแหน่งวิงแบ็คทำให้ กีเยร์โม่ มาริปาน ต้องหลุดเป็นตัวสำรองในเกมนี้ ส่วนแดนหน้าพวกเขายังคงไว้ใจให้ มูนีร์ เอล ฮัดดาดี้ ลงเล่นร่วมกับ กริสเตียน ซานโต๊ส ในคู่แดนหน้าต่อไป

อลาเบส (3-5-2) : เฟร์นานโด ปาเชโก้ ; อเล็กซิส รูอาโน่, โรดริโก้ อีลี่, อาเดรียน ดีกูเอซ ; การ์ลอส บิการาย, มูบารัก วากาโซ่, โทมัส ปิน่า, มานู การ์เซีย, อัลฟอนโซ่ เปดราซ่า ; มูนีร์ เอล ฮัดดาดี้, กริสเตียน ซานโต๊ส

โฆเซ่ บอร์ดาลาส กุนซือ เกตาเฟ่ ยังคงไร้เงา กาคุ ชิบาซากิ มิดฟิลด์ทีมชาติญี่ปุ่นที่เจ็บมาก่อนหน้านี้ ทว่ายังดีที่ ดาเมียน ซัวเรส จะพ้นโทษแบนกลับมาเป็นทวงตำแหน่งแบ็คขวาคืนจาก ฟรานซิสโก้ โมลิเนโร่ อีกครั้งโดยมี อังเคล โรดริเกซ จะได้ออกสตาร์ทเป็นจอมทัพโดยมี ฟายกัล ฟายร์ และ อามาธ เอ็นเดียเย่ ขึ้นเกมอยู่ริมเส้นพร้อมกับทิ้ง ฆอร์เก้ โมลิน่า เป็นทีเด็ดจบสกอร์

เกตาเฟ่ (4-2-3-1) : บิเซนเต้ กูยาต้า ; ดาเมี่ยน ซัวเรซ, เฌเน่ ดาโกนัม, ฆวน กาล่า, บิตอเรียโน่ อันตูเนส ; มาร์เกล เบร์การ่า, เมาโร อารัมบาร์รี่ ; ฟายกัล ฟายร์, อังเคล โรดริเกซ, อามาธ เอ็นเดียเย่ ; ฆอร์เก้ โมลิน่า

กุนซือ ราฟาเอล เบนิเตซ เกมนี้ยังคงไม่มีชื่อของ มิเกล เมริโน่ กองกลางตัวเก่งที่ยังคงเดี้ยงยาวต่อไปจึงไม่แปลกที่จะได้เห็น ไอแซ็ก เฮย์เด้น ลงคุมกลางร่วมกับ จอนโจ้ เชลวี่ย์ คอยตัดเกมของเจ้าถิ่นโดยมี แม็ตต์ ริตชี่, อาโยเซ่ เปเรซ และ เจค็อบ เมอร์ฟี่ย์ เป็นสามประสานแนวรุกพร้อมกับวาง โฆเซลู ลงล่าตาข่าย ส่วนแนวรับ ยามาล ลาสเซลเลส จะหลุดไปนั่งสำรองพร้อมกับเลือกใช้ เคียแรน คล้าร์ก ออกสตาร์ทแทน

นิวคาสเซิ่ล (4-2-3-1) : ร็อบ เอลเลียต ; เดอันเดร เยดลิน, เคลียแรน คล้าร์ก, ฟลอริย็อง เลอฌวน, ฆาบี มานกีโญ่ ; จอนโจ เชลวี่ย์, ไอแซ็ก เฮย์เด้น ; แม็ตต์ ริตชี่, อาโยเซ่ เปเรซ, เจค็อบ เมอร์ฟี่ย์ ; โฆเซลู

กุนซือ โชเซ่ มูรินโญ่ ต้องเผชิญกับปัญหาแข้งเดี้ยงอีกครั้งหลัง ฟิล โจนส์ แนวรับทีมชาติอังกฤษเป็นรายล่าสุดที่บาดเจ็บเข้ามาจากโปรแกรมทีมชาติทำให้คู่เซนเตอร์ในเกมนี้จะตกไปอยู่ที่ คริส สมอลลิ่ง กับ อีริก ไบญี่ ไปโดยปริยาย อย่างไรก็ดีพวกเขามีข่าวดีเพิ่มเติมเข้ามาเมื่อ ปอล ป็อกบา และ ซลาตัน อิบราฮิโมวิช สองแข้งสตาร์ดังต่างคัมแบ็กซ้อมร่วมกับทีมได้แล้วทว่ายังต้องรอแมตช์ประเดิมสนามไปก่อน

แมนฯ ยูไนเต็ด (4-2-3-1) : ดาบิด เด เคอา ; อันโตนิโอ วาเลนเซีย, คริส สมอลลิ่ง, อีริก ไบญี่, แอชลี่ย์ ยัง ; เนมันย่า มาติช, อันเดร์ เอร์เรร่า ; ฆวน มาต้า, เฮนริคห์ มคิตาร์ยาน, มาร์คัส แรชฟอร์ด ; โรเมลู ลูกากู

ส่วนเทรนเนอร์ อันโตนิโอ คอนเต้ ยังคงหมดสิทธิ์ใช้งาน วิคเตอร์ โมเซส วิงแบ็คกำลังหลักที่ยังบาดเจ็บเช่นเดียวกับ มิชี่ บาตชูอายี่ ที่ต้องพักยาวราว 4 สัปดาห์ แต่ยังดีที่กำลังสำคัญทั้ง เอแดน อาซาร์, บากาโยโก้ ไม่มีอาการบาดเจ็บมาจากทีมชาติและจะได้เห็น ดาวิด ลุยซ์ ผ่านความฟิตลงสนามอีกครั้ง โดยเกมนี้อาจจะได้เห็นการเปลี่ยนแปลงภายในทีมเนื่องจากมี ชปล. รออยู่กลางสัปดาห์และจะได้เห็น อันเดรส คริสเตียนเซ่น และ ดาวิเด้ ซัปปาคอสต้า ออกสตาร์ทบ้าง

เชลซี (3-4-2-1) : ธิโบต์ กูร์กตัวส์ ; เซซ่าร์ อัซปิลิกูเอต้า, อันเดรียส คริสเตียนเซ่น, แกรี่ เคฮิลล์ ; ดาวิเด้ ซัปปาคอสต้า, เอ็นโกโล่ ก็องเต้, เตมูเอ บากาโยโก้, มาร์กอส อลอนโซ่ ; เปโดร โรดริเกวซ, วิลเลี่ยน ; อัลบาโร่ โมราต้า

โทนี่ พูลิส นายใหญ่ประจำทีมโชคไม่ดีนักที่เกมนี้จะไม่มีชื่อของ นาเซอร์ ช๊าดลี่ ตัวรุกทีมชาติเบลเยียมที่เดี้ยงระหว่างฝึกซ้อมต่อจากแข้งเดี้ยงหน้าเก่าอย่าง เคร็ก ดอว์สัน กับ เจมส์ มอร์ริสัน ทำให้โฉมหน้าตัวผู้เล่นคงไม่เปลี่ยนแปลงมากนักจากช่วงก่อนพักเบรคทีมชาติและจะได้เห็น ซาโลมอน รอนดอน และ เจย์ โรดริเกวซ ลงจบสกอร์ร่วมกันในโซนหน้าคู่

เวสต์บรอมวิช (3-5-2) : เบน ฟอสเตอร์ ; แกเร็ธ แม็คออลี่ย์, อาห์เหม็ด เฮกาซี่, จอนนี่ อีแวนส์ ; อแล็ง นียอม, เกอร์เซกอร์ซ ครีโชเวี๊ยค, แกเร็ธ แบร์รี่, เจค ลิเวอร์มอร์, คีแรน กิ๊บบ์ส ; ซาโลมอน รอนดอน, เจย์ โรดริเกวซ

ส่วนทีมเยือน อาไว ทีมอันดับ 19 จะได้ตัว เปโดร คาสโตร (28 นัด/2 ประตู) กองกลางตัวสำคัญที่พ้นโทษแบนกลับมาช่วยทีม โดยมี จูเนียร์ ดูตร้า (27 นัด/7 ประตู) ลงเป็นเพลย์เมกเกอร์ให้ โรมูโล่ (30 นัด/3 ประตู) หัวหอกตัวความหวังคอยจบสกอร์ ส่วนแข้งอย่าง ลวน (13 นัด)กองกลางและ วิลเลี่ยนส์ (20 นัด)กองหน้ายังคงมีปัญหาอาการบาดเจ็บในเวลานี้

เจ้าบ้าน ครูไซโร่ ทีมอันดับ 5 จะหมดสิทธิ์ใช้งาน มูริลโล่ แซร์เกอร่า ปราการหลังหนุ่มวัย 20 ปีที่ติดคาดโทษจากการสะสมใบเหลืองเช่นเดียวกับ ราเนี่ยล, อาเรียล กาบรัล และ เดเด้ สามแข้งเก่งที่เจ็บอยู่ อย่างไรก็ดีพวกเขาจะได้ตัว เอ็นริเก้ (24 นัด) กองกลางกัปตันทีมที่พ้นแบนกลับมาพร้อมประจำการอีกครั้งพร้อมกับกำลังหลักแนวรุกอย่าง ราฟาเอล โซบิส (23 นัด/4 ประตู) กับ ธิอาโก้ เนเวส (30 นัด/9 ประตู)ลงล่าตาข่าย