วิเคราะห์บอล / วิเคราะห์บอลวันนี้

ทีมเยือน แอตฯ มิไนโร่ ฟอร์มยังไม่คงเส้นคงวาเท่าใดนักในเวลานี้โดยเกมล่าสุดเพิ่งบุกไปเสมอ บาเฮีย 2-2 ส่วนทางด้านความพร้อมนัดนี้จะไม่มี มาติอัส มันชินี่ กองหลังและ ลวน ศูนย์วัย 27 ปีที่เพิ่งสะสมใบเหลืองครบโควต้า ทว่าคีย์แมนโซนแนวรุกที่เหลือต่างพร้อมลงประจำตำแหน่งพร้อมกับวาง เฟร็ด (25 นัด/9 ประตู) ลงล่าตาข่ายโดยมี โรบินโญ่ (26 นัด/7 ประตู)อดีตตัวรุกทีมชาติบราซิลลงเป็นเพลย์เมกเกอร์ในระบบ 4-2-3-1

เจ้าบ้าน วาสโก้ ดา กาม่า ยังคงต้องยกระดับฟอร์มการเล่นต่อไปแม้ว่าพวกเขาจะไม่แพ้ใครมา 5 เกมติด ทว่าเป็นผลเสมอไปถึง 4 เกมด้วยกัน ส่วนความพร้อมเกมในบ้านนัดนี้มีข่าวดีคือจะได้ตัว ยอร์มาร์ แนวรับพ้นโทษแบนกลับมาลงสนามอีกครั้งพร้อมกับวาง อังเดรีย ริออส (13 นัด/2 ประตู)ลงยืนเป็นหน้าตัวเป้าโดยมี เนเน่ (27 นัด/5 ประตู) และ หลุยส์ ฟาเบียโน่ (12 นัด/5 ประตู)เป็นตัวสนับสนุนในระบบ 4-3-3

เซา เปาโล ทีมอันดับ 11 มีปัญหาเรื่องตัวผู้เล่นก่อนเกมค่อนข้างแถม เอเดอร์ มิลิเตา(19นัด/1ประตู)แนวรับที่ติดโทษแบนในเกมนี้ รวมไปถึงตัวเจ็บหน้าก่าอย่าง เวลลิงตัน เน็ม (10 นัด/1 ประตู) หัวหอกกำลังเสริม บรูโน่ วิเอร่า(9นัด)กองกลาง และ เรนาน ริเบร์โร่(20นัด)ผู้รักษาประตูมือหนึ่งที่ยังบาดเจ็บด้วยกันหมด ส่วนแข้งแกนหลักอย่าง แฮร์นาเนส (18 นัด/9 ประตู) เพลย์เมกเกอร์จอมเก๋าและ ลูกัส ปรัตโต้ (33 นัด/7 ประตู) หัวหอกอาร์เจนไตน์ ต่างพร้อมลงยืนเป็นทีเด็ดในระบบ 4-1-4-1 ในเกมนี้

เกรมิโอ้ ทีมรองจ่าฝูงทำได้เพียงเสมอ วิตอเรีย 1-1 เท่านั้นก่อนจะได้แก้ตัวอีกนัดในบ้านของตัวเอง ส่วนสภาพความพร้อมก่อนเกมพวกเขาไม่มีตัวเจ็บตัวแบนเข้ามาเพิ่มเติมยกเว้นในรายของ ดั๊กลาส ดอส ซานโต๊ส (-) ห้องเครื่องมากประสบการณ์วัย 35 ปีเพียงรายเดียวเท่านั้น ส่วนแข้งตัวจริงในนัดนี้จะได้เห็น ลูกัส บาร์ริออส (16 นัด/4 ประตู) ดาวยิงชาวปารากวัยวัย 32 ปีกลับมายืนหน้าเป้าโดยมี รามิโร่(25นัด/6ประตู) ลวน (19 นัด/6 ประตู) และ แฟร์นานดินโญ่ (27 นัด/9 ประตู)เป็นตัวสนับสนุนในระบบ 4-2-3-1

ส่วนทีมเยือน แอตฯพาราเนนเซ่ เพิ่งคัมแบ็คคว้าชัยเหนือ โบตาโฟโก 1-0 หลังไม่ชนะใครมา 3 เกมติด(เสมอ1แพ้2) ส่วนความพร้อมในเกมนี้จะขาดเพียงแค่ เฟลิเป้ เกดอซ(14นัด/3ประตู)แข้งเกมรุกตัวสำรองที่ยังบาดเจ็บอยู่ในยามนี้ แถมยังมีลุ้นเช็คความฟิต นิเกา (29 นัด/2 ประตู) มิดฟิลด์ตัวเก่งสลัดเดี้ยงกลับมาแต่ว่าจะมีชื่อเป็นเพียงสำรองและปล่อยให้ กิลเยเม่ร์ (19 นัด/5 ประตู)ลงปั้นเกมแทน

กุนซือ เอดูอาร์โด้ บ๊าปติสต้า แม้จะจะยังไม่ชนะใครมา 3 เกมติด(เสมอ1แพ้2) ทว่าจากการบุกไปแชร์แต้มทีมที่อันดับเหนือกว่าอย่าง กอริติบ้า ได้ต้องบอกว่าไม่ธรรมดา ส่วนความพร้อมก่อนลงเล่นเกมนี้จะได้ตัว เฟร์นานโด้ บ็อบ(18นัด)กองกลางกัปตันทีมกลับมาลงสนามเป็นตัวจริงอีกครั้ง พร้อมกับวางแข้งแกนหลักแนวรุกอย่าง ดานิโอ บาร์เซลอส(18นัด/3ประตู),เอเมอร์สัน(23นัด/4ประตู) และ ลุคก้า(33นัด/11ประตู)ลงบู๊ในแดนหน้าในระบบ 4-3-3 ส่วนแข้งตัวเจ็บแน่นอนว่ายังไม่มี อาเธอร์(1นัด)แนวรับตัวสำรอง และ เจา วิคตอร์(-)กองกลางตัวเสริมที่ยังบาดเจ็บ

ดิ๊ค อั๊ดโวคาท เทรนเนอร์ประจำทีมไม่มีปัญหาเรื่องผู้เล่นบาดเจ็บมาจากเกม สกอตแลนด์ 1-0 ในนัดล่าสุด คาดว่าเกมนี้จะได้เห็น เมมฟิส เดอปาย ที่ได้การยกย่องว่าจะเป็นคีย์แมนสำคัญระดับชาติต่อจาก อาร์เยน ร๊อบเบน ที่อำลาทีมชาติไปแล้ว และจะได้เห็น เมมฟิส เดอปาย ลงยืนเป็นตัวทีเด็ดร่วมกับ ไรอัน บาเบิ้ล และ ควินซี่ โฟรเมส ในระบบ 4-3-3 โดยมี ดาลี่ย์ บลินด์,จอร์จินิโอ ไวนัลดุม และ เควิน สตรูทมัน ลงคุมแดนกลาง

ฮอลแลนด์ (4-3-3) : แยสเปอร์ ชิลเลสเซ่น - ดาริล ยานมาต, คาริม เรกิ๊ก, เวอร์กิล ฟาน ไดจ์ค, นาธาน อาเก้ - ดาลี่ย์ บลินด์,จอร์จินิโอ ไวนัลดุม,เควิน สตรูทมัน - ควินซี่ โฟรเมส, ไรอัน บาเบิ้ล, เมมฟิส เดอปาย

คอสมิน คอนทรา เทรนเนอร์ทีมชาติโรมาเนียเพิ่งนำทีมอุ่นเครื่องชนะ ตุรกี 2-0 ในเกมที่ผ่านมาแม้การเรียกตัวครั้งนี้จะได้เห็นแข้งหน้าใหม่ในประประเทศตบเท้าติดทีมชาติกันทั้งสิ้นไม่ว่าจะเป็น จอร์จี้ ตูกูเดอัน, เดนิส อาลิเบค, ฟลอริน ทานาส, อเล็กซานดรู บาลูต้า, นิคูซอร์ บานคูและ มิฮาย บาลาซ่า โดยมีแข้งตัวชูโรงอย่าง บ็อกดาน โลบอนท์ ลงเป็นผู้รักษาประตูตัวจริงโดยมี วล๊าด ชิริเชส แนวรับค่ายนาโปลีลงเป็นตัวชูโรง โดยมี เคลาดู เคเซรู จากลูโดโกเร็ตส์เป็นตัวชูโรงในแดนหน้า

โรมาเนีย (4-2-3-1) : บ็อกดาน โลบอนท์ - คริสเตียน ซาปูนารู, ดรากอส กริกอเร่, วล๊าด ชิริเชส, คอสมิน โมตี้ - มิไฮ พินติลี่,นิโคเล สแตนซิอู, รัซวาน มาริน,คอนสแตนติน บูเดสกู , จอร์จี้ โกรซาฟ- เคลาดิอู เคเซรู

ส่วนตัวแทนจากโซนคอนคาเคฟอย่าง ปานามา จัดเป็นทีมสุดเซอร์ไพรส์หลังเบียด สหรัฐอเมริกา เข้ารอบสุดท้ายฟุตบอลโลกที่รัสเซีย ส่วนความพร้อมก่อนลงสนามนายใหญ่ เฮอร์นาน ดาริโอ โกเมซ ได้เรียกแข้งใหม่เข้าทีมเพื่อเก็บเกี่ยวประสบการณ์ไม่ว่าจะเป็นสองหัวหอกวัยรุ่นอย่าง อิสมาแอล ดิอ๊าซ และ อัลเฟรโด้ สตีเฟ่นส์ ส่วนแข้งแดนกลาง 3 รายอย่าง อนิบัล โกดอย, กาเบรียล โกเมซ และ เอ็ดการ์ บาร์เซนาส ต่างมีปัญหาบาดเจ็บไร้ชื่อในเกมนี้

ปานามา (4-4-2) : เจมี่ เปนาโด้ ; อดอลโฟ มาชาโด, ฟีเดล เอสโคบา, โรมัน ตอร์เรส, หลุยส์ โอวัลเล่ ; มาร์กอส ซานเชซ, มิเกล วาร์กัส, อาร์มานโด คูเปอร์, ริการ์โด้ บุยตราโก้ ; อิสมาแอล ดิอ๊าซ, อัลเฟรโด้ สตีเฟ่นส์

คริส โคลแมน ผู้จัดการทีมชาติเวลส์ เพิ่งนำทีมอุ่นเครื่องพ่าย ฝรั่งเศส 0-2 มาหมาดๆในเกมที่ผ่านมา แถมในเกมนี้ยังจะไร้เงา อารอน แรมพ์ซี่ย์ จอมทัพตัวเก่งที่เพิ่งถอนตัวกลับต้นสังกัดไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ทำให้ความหวังในเกมนี้จะอยู่ที่ เบน วู๊ดเบิร์น สตาร์ดาวรุ่งค่าย "หงส์แดง" ที่จะถูกส่งออกสตาร์ทร่วมกับ อีธาน อัมพาดู และ เดวิด บรู๊ค โดยมี โจ อัลเลน เป็นจอมทัพสำคัญ

เวลส์ (4-4-1-1) : เวย์น เฮนเนสซี่ย์ ; คริส กันเทอร์, แอชลี่ย์ วิลเลี่ยมส์, เจมส์ เชสเตอร์, นีล เทย์เลอร์ ; ดาวิด เอ็ดเวิร์ดส์, โจ เล็ดลี่ย์, โจ อัลเลน, แอนดี้ คิง ; เดวิด บรู๊คส์ ; เบน วู๊ดเบิร์น

ส่วนทีมเยือน คอสตาริก้า ผ่านเข้ารอบฟุตบอลโลกโซนคอนคาเคฟจากการจบอันดับ 2 ทว่าฟอร์มเกมอุ่นเครื่องนัดล่าสุดเริ่มได้ไม่สวยนักหลังพ่าย สเปน เละเทะถึง 0-5 ส่วนสภาพความพร้อมในเกมนี้แน่นอนว่าจะไม่มี เกย์เลอร์ นาวาส จอมหนึบจากเรอัล มาดริด ที่ยังบาดเจ็บ เช่นเดียวกับ 3 แนวรับบตัวหลักอย่าง ไมเคิ่ล อูมาน่า, รอย มิลเลอร์ และ จอห์นี่ อากอสต้า ที่ถอนตัวออกไปก่อนหน้านี้ ส่วนแทคติกในเกมนี้ ออสการ์ รามิเรซ กุนซือใหญ่จะมาในระบบ 5-4-1 พร้อมกับวาง มาร์กอส ยูเรน่า เป็นทีเด็ดจบสกอร์

คอสตาริก้า (5-4-1) : แดนนี่ การ์บาฮาล - คริสเตียน กัมบัว, เคนดัลล์ วัสตัน, จิอันคาร์โล กอนซาเลซ, ฟรานซิสโก้ กัลโว่, ร็อดนี่ย์ วอลเลซ - คริสเตียน โบลานยอส, เซลโซ่ บอร์เกส, เยลต์ซิน เทเจด้า, โรนัลด์ มาตาร์ริต้า - มาร์กอส ยูเรน่า

เกมนี้ทีมชาติฮังการีเตรียมกลับมาเล่นในบ้านหลังอุ่นเครื่องพ่าย ลักเซมเบิร์ก 1-2 ในเกมที่ผ่านมา ส่วนความพร้อมก่อนเกมเจ้าบ้านจะไม่มี ปีเตอร์ กูลาซี่ ผู้รักษาประตู และ โซลตัน เกร่า กองกลาง ซึ่ง 2 แข้งตัวเก่งต่างถอนตัวในทริปเก็บตัวครั้งนี้แต่ยังดีที่ คริสเตียน เนเม็ธ และ เนมันย่า นิโคลิช ยังพร้อมเป็นตัวชูโรงและจะถูกส่งลงแดนหน้าในระบบ 4-3-3 โดยมี โรลันด์ อูกราย ขึ้นเกมร่วมกัน

ฮังการี (4-3-3) : อาดัม โควาชิค - เกอร์โก้ ลอฟเรนซ์ซิซ,โซลท์ คอร์ชมาร์, ทามาส คาดาร์, มิฮาย โกร์ฮุต - มาเต้ พัตไคฅ, ดานียาล นอจ, บาลาสซ์ ซุดซัค - โรลันด์ อูกราย, คริสเตียน เนเม็ธ, เนมันย่า นิโคลิช

ส่วนทีมเยือน สเปน ภายใต้การคุมทัพของ จูเลน ยังคงนำทีมชาติทำผลงานได้ตามมาตราฐานหลังชนะรวด 6 นัดติดรวมทุกรายการ ส่วนความพร้อมในเกมนี้จะไร้เงาแข้งตัวหลักไปหลายรายไม่ว่าจะเป็น อีสโก้, โกเก้, เปโดร, อาริตซ์ อาดูริตซ์ และ ฆาบี มาร์ติเนซ ที่กลับต้นสังกัดเป็นที่เรียบร้อย อย่างไรก็ยังพอเหลือทีเด็ดลงเป็นแข้งแกนหลักในเกมนี้พร้อมกับวาง อัลบาโร่ โมราต้า ลงเป็นหน้าเป้าโดยมี มาร์โก อาเซนซีโอ และ ซูโซ่ คอยสนับสนุน รวมไปถึง อันเดรียส อีเนียสต้า เพลย์เมกเกอร์จากค่าย "เจ้าบุญทุ่ม" พร้อมเป็นตัวชูโรงด้วยเช่นกัน

สเปน (4-1-2-1) : เกป้า ; โอดริโอโซล่า, เคราร์ด ปีเก้, เซร์คิโอ รามอส, ฆอร์ดี้ อัลบา ; เซร์คิโอ บุสเก็ตส์ ; อาเซียร์ อิยาร์ราเมนดี้, อันเดรียส อีเนียสต้า ; มาร์โก อาเซนซีโอ, ซูโซ่ ; อัลบาโร่ โมราต้า

ตานิสลาฟ เชอร์เชฟซอฟ นายใหญ่ทีมชาติรัสเซียเพิ่งผ่านเกมอุ่นเครื่องกับ อาร์เจนติน่า ก่อนจะพ่ายไป 0-1 ในเกมล่าสุด ส่วนความพร้อมในเกมนี้พวกเขายังพร้อมส่งตัวเก๋าลงบู๊ทีมชาติสเปนในเกมนี้ไม่ว่าจะเป็น ยูริ เซอร์คอฟ (79 นัด 2 ประตู), เดนิส กลูชาคอฟ (55 นัด 5 ประตู) ยกเว้นในรายของ อิกอร์ อาคินเฟเยฟ (103 นัด) นายทวารมือหนึ่งที่ถอนตัวกลับต้นสังกัดเพื่อเปิดทางให้ วลาเดิเมียร์ กูบาลอฟ มือสองได้ลงมาโชว์ฝีมือบ้าง นอกจากนี้พวกเขายังต้องเช็คความฟิตของ มาริโอ แฟร์นานเดซ และกองหน้าดาวซัลโวของทีมอย่าง อเล็กซานเดอร์ โคโคริน ที่มีปัญหาบาดเจ็บเล็กน้อย

รัสเซีย (3-5-2) : วลาเดิเมียร์ กูบาลอฟ ; วิคเตอร์ วาซิน, จอร์จี้ ซิกิย่า, อิย่า กูเตปอฟ ; มาริโอ แฟร์นานเดซ, เดนิส กลูชาคอฟ, อันตอน ชเว็ตส์, อเล้ฏซานเดอร์ เยโรกิ้น, ยูริ เซอร์คอฟ ; โฟเดอร์ สโมลอฟ, มิรานชุค

ด้านทีมเยือน นอร์เวย์ ผลงานนัดล่าสุด เพิ่งออกไปพ่าย มาซิโดเนีย 0-2 ส่วนความพร้อมในเกมนี้พวกเขาจะไม่มีชื่อของ โอมาร์ เอลอับเดลลาอุย แนวรับ, สเตฟาน โยฮันเซ่น กองกลางกัปตันทีม, ทาริค เอลยูนูสซี่ และ โจชัว คิง ที่ต่างมีปัญหาบาดเจ็บจากต้นสังกัดไม่ได้ถูกเรียกตัวใช้งาน ส่วนตัวชูโรงในเกมนี้ยังคงได้เห็น อเล็กซานเดอร์ เซอเดอร์ลุนด์ หอก แซงต์ เอเตียน จับคู่กับ อเล็กซานเดอร์ ซอร์ลอธ ในระบบ 4-4-2 โดยมี มาร์ติน ลินเนส, มาร์คุส เฮนริคเซ่น, โอเล่ เซลเนส และ มาร์ติน โอเดการ์ด ลงยืนแผงแดนกลาง

นอร์เวย์ (4-4-2) : สเตน กรีเตบุสต์ - โยนาส สเวนส์สัน, กุสตาฟ วัลสวิค, ฮาวาร์ด นอร์ทไวท์, บิร์เกอร์ เมลิง - มาร์ติน ลินเนส, มาร์คุส เฮนริคเซ่น, โอเล่ เซลเนส, มาร์ติน โอเดการ์ด - อเล็กซานเดอร์ โซเดอร์ลุนด์, อเล็กซานเดอร์ ซอร์ลอธ

แยน โคซัค นายใหญ่ประจำทีมเพิ่งพาทีมอุ่นเครื่องพ่าย ยูเครน 1-2 ในเกมที่ผ่านมา ส่วนความพร้อมก่อนลงสนามแน่นอนว่าจะไม่มี มิเชล ดูริส และ แยน เกรกัส สองตัวหลักที่ถอนตัวก่อนอุ่นเครื่องในวีคนี้อยู่ก่อนแล้ว ทว่ายังดีที่ มาเร็ค ฮัมซิค เพลย์เมกเกอร์กัปตันทีมยังพร้อมลงบัญชาเกมร่วมกับ มิลาน สคริเนียร์(อินเตอร์)และ แพทริค ฮโรซอฟสกี้(วิคตอเรีย พัลเซ่น)ในระบบ 4-3-3 โดยมี อดัม เนเม็ก, อัลเบิร์ต รัสแน็ค และ ออนเดรจ์ ดูด้า ดาวรุ่งวัย 22 ปีผนึกกำลังในแนวหน้า

สโลวาเกีย (4-3-3) : มาร์ติน ดูบราฟก้า - นอร์เบิร์ต กียอมเบอร์, มาร์ติน สเคอร์เทล, ปีเตอร์ สเตตีนา, โทมัส ฮูโบซาน - มิลาน สคริเนียร์,แพทริค ฮโรซอฟสกี้, มาเร็ค ฮัมซิค - ออนเดรจ์ ดูด้า,อัลเบิร์ต รัสแน็ค, อดัม เนเม็ก

กุนซือ ฮวน คาร์ลอส โอซาริโอ้ นายใหญ่เม็กซิโก เพิ่งโชว์ทีเด็ดบุกเสมอ เบลเยียม 3-3 ในเกมอุ่นเครื่องนัดล่าสุด อย่างไรก็ดีเกมนี้พวกเขาจะไม่มีชื่อ ฮาเวียร์ เฮอร์นานเดซ (เวสต์แฮม ยูไนเต็ด), เอคตอร์ เฮร์เรร่า (ปอร์โต้), โจวานนี่ ดอส ซานโต๊ส (แอลเอ กาแล็กซี่) และ แอ็ดสัน อัลวาเรซ (คลับ อเมริกา)ที่จะถูกส่งกลับต้นสังกัดทั้งหมด ทำให้โฉมหน้าแข้งที่เหลืออยู่ในเกมนี้จะใช้งาน โอริเบ้ เปรัลต้า ลงยืนเป็นหน้าเป้า โดยมี เออร์วิง โลซาโน่ และ คาร์ลอส เวล่า ขนาบข้างในระบบ 4-3-3

เม็กซิโก (4-3-3) : กีเยร์โม่ โอชัว - คาร์ลอส ซัลเซโด้, เนสตอร์ อาเราโย่, ดิเอโก้ เรเยส, มิเกล ลายุน - อันเดรส กวาร์ดาโด้, โจนาธาน ดอส ซานโต๊ส, ฮาเวียร์ อากีโน่ - เออร์วิง โลซาโน่, โอริเบ้ เปรัลต้า, คาร์ลอส เวล่า

อดัม นาวัลก้า ผู้จัดการทีมชาติโปแลนด์ เกมนี้จะไม่มีดาวดังอย่าง โรเบิร์ต เลวานดอฟสกี้ , คามิล โกรซิคกี้,เกอร์เซกอร์ซ ครีโชเวี๊ยค และ กามิล กลิค ที่เจ้าตัวอนุญาตให้กลับต้นสังกัดก่อนกำหนด ทำให้โฉมหน้าแข้งที่ถือเป็นตัวหลักขาประจำจะเหลือเพียง ยาคุบ บลาสซีคอฟสกี้ (โวล์ฟสบวร์ก), พิโอเตอร์ ซีลินสกี้ (นาโปลี), คาโรล ลิเนตตี้ (ซามพ์โดเรีย) และ วอจเซี๊ยจ เซสนี่ (ยูเวนตุส)ที่คาดว่าจะตบเท้าออกสตาร์ทเป็นตัวจริงกันแทบยกเซ็ต

โปแลนด์ (3-4-2-1) : วอจเซี๊ยจ เซสนี่ - ธิอาโก้ ซิโอเนค, อาร์เตอร์ เยเดอร์เซชเซี๊ยค, ยาโรสลาฟ จ๊าค - บาร์ตอซ เบเรสซินสกี้, เกอร์เซกอร์ซ ครีโชเวี๊ยค, คาโรล ลิเนตตี้, มาเซี๊ยค รีบัส - ยาคุบ บลาสซีคอฟสกี้, พิโอเตอร์ ซีลินสกี้ - กามิล วิลเซค

ส่วนทีมเยือน แอลเบเนีย ของกุนซือ คริสเตียน ปานุชชี่ เตรียมวางตัวเด็ดๆลงบู๊ไม่แพ้กันพร้อมกับวาง อาร์มันโด้ ซาดิกู หัวหอกจาก ลีเกีย วอร์ซอว์ เป็นทีเด็ดแดนหน้าร่วมกับ อาซเดรน ลูลลากู ส่วนแดนกลางจะใช้ ตูล็องต์ ชาก้า (เอฟซี บาเซิ่ล), เออร์เมียร์ เลนยานี่(เอฟซี ซิยง)และ เลเดียน เมมูชาย(เบเนเวนโต้)เป็นตัวชูโรง

เมอร์เซีย ลูเซสกู ผู้จัดการทีมชาติตุรกีเพิ่งนำทีมอุ่นเครื่องพ่าย โรมาเนีย 0-2 ในเกมล่าสุด ส่วนความพร้อมในเกมนี้คาดว่าพวกเขาไม่มีแผนการปรับทัพมากนักและยังยึดแผนเก่ง 4-2-3-1 ลงบู๊ตามคาดพร้อมกับนำโดย เซ็งค์ โตซุน หัวหอกจาก เบซิคตัส ลงยืนเป็นหน้าโดยมี ฮาคาน ชัลฮาโนกลู ตัวรุก มิลาน และ โอกูซาน ออซยาคุ๊ป กับ ยูซูฟ ยาซินี่ เป็นตัวขึ้นเกมจากริมเส้น

ส่วนทีมเยือน อิหร่าน ของกุนซือ คาร์ลอส เกรอซ เตรียมปรับหมากบางตำแหน่งจากเกมชนะ ปานามา 2-1 ในนัดล่าสุดส่วนแข้งดาวรุ่งที่น่าจับตามองอย่าง ซาร์ดาร์ อัซมวน หัวหอกจาก รูบิน คาซาน ที่ซัดไปแล้ว 22 ประตูจาก 29 เกมในนามทีมชาติจะถูกวางเป็นกองหน้าร่วมกับ เรซ่า ยูจานเนย์ฮัด จาก ฮีเรนวีน รวมถึง อัชคาน เดยากาห์ รับหน้าที่เป็นเพลย์เมกเกอร์

ราฟาเอล ดูดาเมล นายใหญ่ประจำทีมยังคงเรียกแกนหลักติดทัพกันคับคั่งไม่ว่าจะเป็น ซาโลมอน รอนดอน (เวสต์บรอมวิช อัลเบี้ยน), ฮวน ปาโบล อันญอร์ (มาลาก้า), ดาร์วิน มาชิส (กรานาด้า), และ มิเกล บิญานูเอบ้า (กาดิซ) ซึ่งสามรายหลังค้าแข้งในลีกสเปนคาดว่าทั้งหมดน่าจะถูกส่งออกสตาร์ทซะส่วนใหญ่ ยกเว้นในส่วนของ โทมัส รินคอน จาก โตริโน่, โรมูโล่ โอเตโร่ แข้งจากลีกบราซิล แอตเลติโก มิไนโร่ รวมถึง อเล็กซานเดร์ กอนซาเลซ และ ดานี่ เอร์นานเดซ สองนักเตะขาประจำที่ไม่ได้ถูกดึงติดทัพเข้ามา

เบิร์ต ฟาน มาร์ไวย์ค กุนซือชาวดัตช์ของ ซาอุดิอาระเบีย หนึ่งในทีมเอเชียที่ตบเท้าเข้ารอบสุดท้ายฟุตบอลโลกที่รัสเซีย เกมนี้พวกเขาจะไร้เงาแข้งแกนหลักที่ต่างถอนตัวทีมชาติไม่ว่าจะเป็น ผู้รักษาประตูมือหนึ่ง ยาสเซอร์, นาวาฟ อัล-อาเบด กองกลางและ ดาวยิงเบอร์หนึ่งของทีมอย่าง โมฮาเหม็ด อัล-ชาราวี่ เจ้าของ 28 ประตูในนามทีมชาติ ทำให้ตัวความหวังในเกมนี้จะตกไปอยู่ที่ตัวเก๋าอย่าง ไทเซียร์ อัล-ยาสซิม (123 นัด 17 ประตู) และ ยาห์ยา อัล-เชห์รี่ (50 นัด 5 ประตู)ค่อนข้างแน่

เพตาร์ ฮุบเชฟ กุนซือใหญ่ทีมชาติบัลแกเรียเตรียมนำลูกทีมลงเล่นในแมตช์โปรแกรมอุ่นเครื่องหลังจากหมดลุ้นไปลุยฟุตบอลโลกรอบสุดท้ายที่รัสเซียมาแล้วตลอดช่วงที่ผ่านมา เกมนี้พวกเขาดึงตัวนักเตพเข้าแคมป์เพียงแค่ 19 รายเท่านั้นและจะได้เห็นแข้งหน้าใหม่อย่าง อเล็กซานเดอร์ ยุลเกรอฟ แนวรับ, อิวาน มินเชฟ กองกลางจากสลาเวีย โซเฟีย และ บลากอฟ มาเคนด์ซิเยฟ นายทวารได้โอกาสติดทีมชาติ โดยมีแกนหลักหน้าเดิมอย่าง อิเวลิน โปปอฟ (71 นัด 12 ประตู) ดาวยิงจากสปาร์ตัก มอสโกยังพร้อมลงเป็นทีเด็ดแดนหน้า ส่วนแข้งขาประจำอย่าง ดิมิทาร์ รันเกลอฟ (40 นัด 6 ประตู), สตานิสลาฟ มาโนเลฟ (50 นัด 5 ประตู) รวมถึงกองกลางจากปาแลร์โม่ อิวายโล่ โชเชฟ (15 นัด 3 ประตู)ต่างไม่มีชื่อเรียกตัวในทริปนี้

ส่วนทีมเยือน เรอุส เดปอร์ติอู ฟอร์มโดยรวมถือว่าสูสีกับเจ้าถิ่นทว่ามองไปที่ปัญหาเรื่องสภาพความพร้อมจัดว่าอาการหนักไม่แพ้กันโดยเฉพาะเรื่องเกมรุกที่จะไร้เงาแข้งตัวเจ็บถึง 4 รายไม่ว่าจะเป็น วาซ(10นัด),มายอร์(8นัด/1ประตู),ลีคิซ(6นัด/1ประตู)และ การ์เบีย(8นัด) ส่วนแดนกลางอีกรายอย่าง กุซโซ่(4นัด)ยังไม่สามารถสลัดอาการบาดเจ็บได้เช่นกัน

เจ้าบ้าน กาดิซ ของกุนซือ อัลวาโร่ มีปัญหาภายในทีมค่อนข้างเยอะเพราะเกมนี้พวกเขายังคงไร้ชื่อหัวหอกตัวเก่ง บาร์รัล(10นัด/3ประตู)ที่ยังบาดเจ็บเช่นเดียวกับ อับดุลลาห์(12นัด),ฮิดัลโก้(7นัด),และ โอลิแวน(9นัด) ซึ่งทั้งหมดล้วนเป็นขาประจำในการโรเตชั่นและลงสนามแทบทั้งสิ้น ถึงกระนั้นพวกเขายังพอมีข่าวดีอยู่บ้างเมื่อ โลเปซ(7นัด)แข้งแนวรับตัวหลักมีลุ้นผ่านความฟิตได้ทันเวลา

แกรนท์ แม็คคาน ผู้จัดการทีมยังคงไม่มีตัวเจ็บอย่าง จูเนียร์ โมเรส ที่ซัดประตูให้กับทีมร่วม 4 เม็ดจากปัญหาอาการบาดเจ็บที่ต้นขารวมไปถึง ริคกี้ มิลเลอร์ หัวหอกตัวสำรองที่ถูกหั่นชื่อทิ้งหลังก่อเรื่องนอกสนาม ส่วนแกนหลักที่เหลือต่างอยู่กันพร้อมหน้าหลังทำผลงานได้น่าประทับใจจากการชนะ 2 เสมอ 1 จาก 3 เกมท้ายและจะเป็น แจ็ค มาร์ริอ็อต กับ มาร์คัส แมดดิสัน ที่ซัดรวมกัน 14 เม็ดลงเป็นหน้าคู่

นีล อาร์ดลี่ย์ นายใหญ่ประจำทีมจะหมดสิทธิ์ใช้งาน เควซี่ อัปเปียห์ (9 นัด/2 ประตู) ตัวรุกชาวกานาที่เจ็บเอ็นหลังหัวเข่าต้องพักยาวไปถึงปลายเดือนหน้า อย่างไรก็ดีพวกเขายังพอมีลุ้นได้ตัว ไลล์ เทย์เลอร์ (16 นัด/3 ประตู) กองหน้าตัวเก่งที่บาดเจ็บจากเกมที่แล้วอาจฟิตทันลงช่วยทีมเกมนี้ โดยมี แอนดรูว์ บาร์แคม (16 นัด/2 ประตู)เป็นหัวหอกชูโรงในแดนหน้า

ส่วนทีมเยือน เรอัล บายาโดลิดมีปัญหาการจัดทัพพอสมควรเมื่อจะหมดสิทธิ์ใช้บริการ ซูลายมาน (-) กองกลางตัวสำรอง และกองหน้าชาวกรีซอย่าง จิอันนิส จิอันนิโอติส (7 นัด 2 ประตู)ที่ติดภาระกิจรับใช้ชาติกันทั้งคู่ บอกจากนี้แนวรับอย่าง อังเคล การ์เซีย (7 นัด 1 ประตู) และบียาลิเบร(8 นัด)กองหน้าดาวรุ่งต่างอยู่ในปัญหาอาการบาดเจ็บชวดลงช่วยทีมต่อไป

ปาโก้ เอร์เรร่า นายใหญ่ประจำทีม ยังคงหมดสิทธิ์ใช้งาน เอกาสซี่ (11 นัด 1 ประตู) กองกลางตัวหลักที่กำลังบาดเจ็บเช่นเดียวกับมิดฟิลด์สำรอง อัลบาเรซ (-)รวมถึง มูนีร์ ผู้รักษาประตูสำรองที่ติดรับใช้ชาติ อย่างไรก็ดีคาดว่าเทรนเนอร์ไม่มีแผนการปรับทัพมากนักจากเกมล่าสุดแม้จะบุกไปพ่าย เรอุส เดปอร์ติอู 0-1 ก็ตาม

ทีมเยือน เรอัล โอเบียโด้ กำลังเล่นได้อย่างมั่นใจหลังชนะมาไปถึง 3 จาก 4 เกมหลังสุด ส่วนสภาพความพร้อมในเกมนี้จัดว่าค่อนข้างดีหลังไม่มีรายงานตัวเจ็บเข้ามาจากเกมชนะ ลูโก้ 3-2 และยังคงได้เห็นหัวหอกดาวซัลโวอย่าง โตเช่ (12 นัด 5 ประตู)ล่าตาข่ายร่วมกับ มิเกล ลินาเรส (11 นัด 1 ประตู) โดยมี ซาอูล เบร์ฆ่อน (13 นัด 5 ประตู) คอยปั้นเกมอยู่ด้านหลัง

เจ้าบ้าน กิมนาสติก ยังคงไร้เงาโอมาร์ เปร์โดโม่ (7 นัด 1 ประตู) หัวหอกตัวเก่งรวมไปถึง เตเฆร่า (8 นัด 1 ประตู,เอ็ดดี้ อิสราฟิลอฟ (5 นัด)สองจอมทัพและตัวรุกแคเมอรูน สเตฟาน เอมาน่า (3 นัด)ที่กอดคอกันเดี้ยงอยู่ทั้งหมด ทำให้ตัวเลือกในเกมนี้ยังคงยึดชุดหลักๆจากเกมที่ผ่านมาและยังได้เห็น มานูเอล บาร์ไรโร่ (12 นัด 2 ประตู) และ ไมเกล เมซ่า (11 นัด 4 ประตู)ลงล่าตาข่ายในแดนหน้ายามที่ อิเคชุควู อูเช่ (9 นัด 5 ประตู)ไม่น่าจะผ่านความฟิตทันเวลา

ส่วนทีมเยือน เซบีญ่า เบ เกมนี้จะไร้เงาแน่ๆก็คือ ฟาบริซ ออนโดอา (-) โกล์สำรอง มาร์ก กูยอล (11 นัด 1 ประตู) และ จอร์จี้ อาบูร์ยาเนีย (7 นัด) ห้องเครื่องชาวจอร์เจียที่ถูกเรียกติดทีมชาติ และยังรวมไปถึงปราการหลังอย่าง อเล็กซ์ มูนอซ (13 นัด 1 ประตู) ยังติดโทษแบนอีกด้วย ส่วนตัวหลักของพวกเขายังคงได้เห็น กูร์โร่ ซานเชซ (10 นัด 1 ประตู) กับ การ์ลอส เฟร์นันเดซ (10 นัด 4 ประตู)ลงเป็นทีเด็ดในแดนหน้าอีกครั้ง

เจ้าบ้าน กรานาด้า ยังคงหมดสิทธิ์ใช้งาน เกร์มัน ซานเชซ (2 นัด) และ อาเดรียน รามอส (4 นัด) สองตัวรุกที่ยังบาดเจ็บ ทว่าสภาพความพร้อมโดยรวมไม่มีอะไรให้กังวลเพราะในยามนี้เหล่าแข้งแกนหลักต่างพร้อมให้เลือกใช้งานและยังคงเป็น ดาร์วิน มาชิส และ โฆเซลู ที่กดรวมกัน 10 ลูกเป็นตัวชูโรง

อาร์ราซาเต้ เทรนเนอร์ นูมานเซีย ยังคงไม่มีชื่อ เมดิน่า, ฮูลิโอ อัลบาเรซและ อัลเบร์โต้ เอสกัสซี่ ที่ยังบาดเจ็บอยู่ก่อนหน้านี้ ทว่ายังมีข่าวดีเมื่อ ริป้า (9 นัด) ปราการหลังตัวเก๋าวัย 32 ปีและกองกลาง เกรโก้ เซียร์ร่า (3 นัด) ที่เพิ่งหายเจ็บอาจฟิตลงเกมนี้ไหว โดยมี เปเร่ มีย่า (11 นัด 4 ประตู) ศูนย์หน้าตัวเก่งเป็นตัวชูโรงร่วมกับ มานู เดล โมรัล (9 นัด 2 ประตู) และ ปาโบล บัลการ์เก้ (11 นัด 2 ประตู)

ฟรานซิสโก้ เทรนเนอร์ ลูโก้ จะหมดสิทธิ์ใช้บริการเซร์กิโอ กิล(3 นัด) กับ อาเดรีย การ์โมน่า(-) ที่เดี้ยงยาวตั้งแต่ต้นซีซั่น ทว่ายังไม่เสียหายเท่ากับการขาดหายไปของ เอียโอเม่ กอนซาเลซ (10 นัด 3 ประตู)กองกลางคนสำคัญที่มีปัญหาบาดเจ็บ แถม แซร์จ ลูโก้ (3 นัด) ปราการหลังยังถูกเรียกตัวรับใช้ทีมชาติแคเมอรูนอีกด้วย ทำให้โฉมหน้าตัวความหวังในนัดนี้ยังต้องฝากไว้ที่ คริสเตียน (10 นัด) และ รามอน อาซีซ (13 นัด 2 ประตู)ตามคาด

ส่วนทีมเยือน ปอนเต้ เปรต้า ของกุนซือ เอดูอาร์โด้ บ๊าปติสต้า ยังคงจมอยู่โซนท้ายตารางในยามนี้แถมยังแพ้ไปถึง 4 จาก 5 เกมหลัง ซ้ำร้ายนัดนี้ยังจะไร้เงา เฟร์นานโด้ บ็อบ(18นัด)กองกลางกัปตันทีมที่ติดโทแบนรวมถึง อาเธอร์(1นัด)แนวรับตัวสำรอง และ เจา วิคตอร์(-)กองกลางตัวเสริมที่ยังบาดเจ็บ ส่วนแข้งแกนหลักในเกมนี้พวกเขาจะวาง ดานิโอ บาร์เซลอส(17นัด/3ประตู),เอเมอร์สัน(23นัด/4ประตู) และ ลุคก้า(32นัด/11ประตู)ในระบบ 4-3-3

มาร์เชโล่ โอลิเวียร่า เทรนเนอร์ประจำทีมพา กอริติบ้า ทำผลงานได้น่าประทับใจหลังชนะไปถึง 3 จาก 5 เกมหลังยังไม่แพ้ใคร ส่วนความพร้อมก่อนลงสนามเจ้าบ้านยังคงไร้เงา อเล็กซานโดร(15นัด/1ประตู)กองหน้า เนโต้ เบโรล่า(15นัด/1ประตู)ปีกซ้าย และ โรดริโก้ รามอส(3นัด)แบ็คขวาตัวสำรองที่ยังบาดเจ็บ ส่วนคีย์แมนในเกมนี้อย่าง ริโด้(30นัด/6ประตู)ยังคงถูกวางเป็นหน้าตัวเป้าร่วมกับ อัลเมย์ด้า(28นัด/7ประตู)ในระบบ 4-2-2-2

ทีมจอมฝืดอย่าง กริมส์บี้ ทาวน์ ยังคงไม่ชนะใครเป็นนัดที่ 4 ติดต่อกันในเวลานี้(เสมอ3แพ้1) ซึ่งสวนหนึ่งเกินมาจากปัญหาบาดเจ็บของบรรดาแกนหลักภายในทีมส่งผลต่อฟอร์มการเล่นของพวกเขา อย่างไรก็ดีบรรดาแข้งแกนหลักที่เหลือในวันนี้จะต้องรับภาระหนักแบกทีมต่อไปไม่ว่าจะเป็น แซม โจนส์ (14 นัด/5 ประตู), ซิริกี้ เดมเบเล่ (16 นัด/3 ประตู) และ มิทเชลล์ โรส (10 นัด/2 ประตู)

เจ้าบ้าน เอ็กเซเตอร์ มีข่าวร้ายก่อนเกมให้ต้องกังวลเมื่อ ลอยด์ เจมส์ มิดฟิลด์เลือดเวลส์ดันติดโทษแบนมาจากเกมล่าสุก ฉะนั้นจะหมดสิทธิ์ลงช่วยทีมในเกมนี้ทำให้การไล่จี้จ่าฝูงเป็นงานที่ยากขึ้นเล็กน้อย ทว่ายังดีที่แกนหลักอย่าง รูเบน รี้ด (16 นัด/7 ประตู), เจย์เดน สต็อคลี่ย์ (12 นัด/4 ประตู), เจค เทย์เลอร์ (16 นัด/3 ประตู) และ ลี โฮล์ม (13 นัด/2 ประตู)ต่างพร้อมลงประจำโซนขับเคลื่อนเกมได้ไม่มีปัญหา

ส่วนทีมเยือน ลินคอล์น ซิตี้ ไม่ได้ดีไปกว่าเจ้าบ้านนัก ทว่านัดล่าสุดของพวกเขาดูจะตุนความมั่นใจมาเล็กๆหลังชนะ น็อตต์ส เคาน์ตี้ 2-1 ใน ลีก โทรฟี่ กลางสัปดาห์ ส่วนความพร้อมก่อนเกมพวกเขาไม่มีตัวเจ็บเข้ามาเช่นกันและจะได้เห็น แฮร์รี่ แอนเดอร์สัน, ออลลี่ พัลเมอร์, แมทธิว กรีน และ อเล็กซ์วู้ดยาร์ด ลงประจำตำแหน่งคอยปั้นเกมให้ทีมตามคาด

เจ้าบ้าน ครูว์ อเล็กซานดร้า กำลังย่ำแย่หนักหลังแพ้ไป 3 จาก 4 นัดหลังสุดทำให้เวลานี้มีแต้มหนีโซนตกชั้นเพียง 3 แต้มเท่านั้น อย่างไรก็ดีทว่าพวกเขายังพอมีข่าวดีอยู่บ้างหลังไร้แข้งเจ็บมาจากเกม ปอร์ทเวล 2-4 ในบอลถ้วย ลีก โทรฟี่ และยังพร้อมใช้งาน คริส พอร์เตอร์ (16 นัด/5 ประตู), คริส ดั๊กเนล (14 นัด/4 ประตู) และ จอร์แดน โบเวรี่ (15 นัด/3 ประตู) ลงสนามได้อีกครั้ง

ส่วนทีมเยือน ฟอเรสต์ กรีน ฟอร์มต่างกับเจ้าบ้านเยอะหลังเครื่องต่อเนื่องไล่เก็บชัยไปถึง 4 จาก 5 เกม ทำอันดับหนีบ๊วยของลีกเป็นที่เรียบร้อย ส่วนความพร้อมก่อนเกมพวกเขาสามารถจัดชุดฟูลทีมลงบู๊ได้โดยไร้ปัญหา ทว่าดันจะพลาดใช้งาน เดลเล่ เบนเน็ท (16 นัด) กองหลังคนสำคัญที่สะสมใบเหลืองครบโควต้า ส่วนแกนหลักอย่าง โอมาร์ บูเกล (14 นัด/3 ประตู) ศูนย์หน้าชาวเลบานอนยังพร้อมลงเป็นหน้าเป้าโดยมี โทนี่ โกเมส (7 นัด) และ คริสเตียน ด็อจ (16 นัด/5 ประตู)สนับสนุน

เจ้าถิ่น ครอว์ลี่ย์ ทาวน์ ผลงานกำลังย่ะแย่หลังไม่ชนะใครมา 5 เกมติด แถมในเกมนี้ยังจะไร้เงา จอร์ช ยอร์เวิร์ธ ปราการหลังคนสำคัญที่ได้รับบาดเจ็บขณะฝึกซ้อม ทำให้ควมหวังต้องตกไปอยู่กับ จิมมี่ สมิทธิ์ (13 นัด/4 ประตู), จอร์แดน โรเบิร์ต (13 นัด/3 ประตู) และ เอ็นซิโอ้ โบลเดวิน (16 นัด/1 ประตู)ที่ต้องเค้นศักยภาพในแนวรุกเพิ่มมากขึ้นเป็นพิเศษ

ส่วนทีมเยือน แมนส์ฟิลด์ ฟอร์มโดดเด่นไม่แพ้กันหลังเก็บชัยไปถึง 3 จาก 4 เกมหลังสุดและไม่แพ้ใครมาตลอด 5 เกมหลัง ส่วนความพร้อมในเกมนี้โชคไม่ดีสำหรับพวกเขาที่จะไร้เงา คริสเตียน เพียซ กองหลังและ จาคอบ เมลิส มิดฟิลด์ที่ถูกคาดโทษในเวลาพร้อมกันทำให้ตัวเลือกค่อนข้างมีปัญหา ส่วนตัวชูโรงที่เหลืออย่าง แดนนี่ โรส (14 นัด/8 ประตู) กับ เคน คัมมิ่งส์ (11 นัด/2 ประตู) ยังพร้อมลงเป็นกำลังหลักให้ทีมได้ตามเดิม

เจ้าบ้าน โคเวนทรี เตะค่อนข้างถี่ก็จริงทว่พวกเขาก็ยังรักษาฟอร์มการเล่นหลังชนะติดต่อกันมา 3 เกมรวด ส่วนความพร้อมในเกมนี้นายใหญ่ มาร์ค โรบิ้น เตรียมปรับผู้เล่นจากบอลถ้วยกลางสัปดาห์พอสมควรและจะได้เห็นแข้งตัวหลักอย่าง ยอร์ดี้ โจนส์ (16 นัด/4 ประตู), มาร์ค แม็คนัลตี้ (12 นัด/2 ประตู) และ มิเชล ดอยล์ (16 นัด/1 ประตู) กลับมายึดตำแหน่งตัวจริงอีกครั้ง ทว่าโชคไม่ดีนักที่ ดั๊กเค่น นาซอน (14 นัด/5 ประตู)หัวหอกหมายเลขหนึ่งต้องติดภาระกิจรับใช้ขาติ เฮติ ในเวลานี้

ส่วนทีมเยือน ลูตัน ทาวน์ กำลังอยู่ในช่วงมั่นใจกว่าเยอะหลังชนะมา 3 จาก 5 นัดหลังพ่ายเพียงนัดเดียวเท่านั้น ส่วนความพร้อมก่อนเกมพวกเขามีลุ้นได้ อลัน แม็คคอร์แม็ค มิดฟิลด์วัย 33 ปีสลัดเดี้ยงได้ทันเวลา แต่ที่จะไม่มีชื่อแน่ ๆก็คือในรายของ จอห์นนี่ มูลลินส์ เพียงคนเดียวเท่านั้น ส่วนผู้เล่นที่คาดว่าจะมีชื่อลงสนามคงหนีไม่พ้น แจ็ค สเตซี่ย์ 16 นัด / 1 ประตู) , ออลลี่ ลี (13 นัด / 2 ประตู)ลงปั้นเกมแดนกลางโดยมี เจมส์ คอลลินส์ (116 นัด / 8 ประตู) ลงจบสกอร์

เจ้าบ้าน เชลท์แน่ม ฟอร์มไม่สู้ดีนักหลังแพ้ไปถึง 3 จาก 5 เกมหลังสุด โดยนัดล่าสุดเป็นฝ่ายพ่าย เมดสโตน 2-4 ในศึกฟุตบอลถ้วย เอฟเอ คัพ มาหมาดๆ ส่วนความพร้อมก่อนลงสนามในเกมนี้พวกเขาต้องเช็คความพร้อมของ ไนเจล อตันกาน่า ส่วนในรายของ เควิน ดอว์สัน มิดฟิลด์คนสำคัญจะติดโทษแบนในเกมนี้ พ่วงด้วยแข้งตัวเจ็บอย่าง ยาไน กอร์ดอน และ จอร์ดอน ฟอร์สเตอร์ ที่จะไม่มีชื่อลงสนามเช่นกัน ส่วนโฉมหน้าตัวจริงที่พร้อมจพลงสนามคงหนีไม่พ้น แดนนี่ ไรท์ (16 นัด /3 ประตู) ที่จะลงมาจับคู่กับ โมฮัมเหม็ด อิสซา (16 นัด / 6 ประตู) ในแดนหน้าโดยมี ไคล์ สโตเรอร์ (13 นัด) และ แฮร์รี เพลล์ (14 นัด / 1 ประตู)เป็นตัวสนับสนุน

ส่วนทางด้านลูกทีมของ ออสการ์ รามิเรซ ผลงานผ่านเข้ารอบสุดท้ายในศึก เวิลด์ คัพ ที่รัสเซีย พวกเขาหลุดมาได้แบบทุลักทุเลหลังชนะเพียงเกมเดียวจาก 5 นัดหลังสุด ส่วนความพร้อมในเกมนี้พวกเขาจะไม่มีแน่ๆก็คือเกย์เลอร์ นาวาส จอมหนึบจาก เรอัล มาดริด ที่ยังต้องพักฟื้นจากอาการบาดเจ็บ เช่นเดียวกับแนวรับอย่าง ไมเคิ่ล อูมาน่า, รอย มิลเลอร์ และ จอห์นี่ อากอสต้า แถม รันดัลล์ อาโซเฟียฟ่า กองกลางตัวเก๋าและ โจเอล แคมพ์เบลล์ ต่างต้องถอนตัวจากการอุ่นเครื่องในคราวนี้ด้วยเหตุผลด้านร่างกายเช่นเดียวกัน

คอสตาริก้า (5-4-1) : แพทริค เพมเบอร์ตัน ; คริสเตียน กัมบัว, เคนดัลล์ วัสตัน, ออสการ์ ดูอาร์เต้, ฟรานซิสโก้ กัลโว่, ไบรอัน โอเบียโด้ ; คริสเตียน โบลานยอส, ดาวิด กุซมัน, เซลโซ่ บอร์เกส,ไบรอัน รุยซ์ ; โยฮัน เวเนกัส

ทัพ "กระทิงดุ" ของกุนซือ ฆูเลน โลเปเตกี จะทำการเรียกผู้เล่นหน้าใหม่เข้ามาติดทีมบางตำแหน่งและจะได้เห็น อับเบร์โต้ โมเรโน่ แบ็กจอมบุกจากค่าย ลิเวอร์พูล ได้โอกาสเรียกติดทีมชาติร่วมกับบรรดาแข้งขาประจำซึ่งจะขาด2 ฟูลแบ็ค เซซ่าร์ อัซปิลิกวยต้า และ นาโช่ มอนเรอัล ที่เป็นโซนแนวรับ รวมไปถึง โกเก้ กองกลางจาก "ตราหมี" และ เปโดร เท่านั้นที่ต้องถอนตัว อย่างไรก็ดีตัวจริงในนัดนี้พวกเขาได้วาง อัลบาโร่ โมราต้า ที่กำลังมั่นใจจากต้นสังกัดลงยืนหน้าเป้าพร้อมกับวาง อีสโก้, ดาบิด ซิลบา และ มาร์โก อาเซนซีโอ ลงปั้นเกมรุก

สเปน (4-2-3-1) : เกป้า ; โอดริโอโซล่า, เคราร์ด ปีเก้, เซร์คิโอ รามอส, ฆอร์ดี้ อัลบา ; ซาอูล ญิเกซ, เซร์คิโอ บุสเก็ตส์ ; อีสโก้, ดาบิด ซิลบา, มาร์โก อาเซนซีโอ ; อัลบาโร่ โมราต้า

ส่วนทีมเยือน ปิซ่า ของกุนซือ มิเชเล่ ปาเซียนซ่า จำเป็นต้องเช็คความฟิตของ คาริลโล่(-)และ อิงกร็อซโซ่(7นัด)สองแนวรับคนสำคัญ แต่ที่จะหมดสิทธิ์แน่ๆก็คือในรายของ ลิสูซโซ่(12นัด)ปราการหลังคนสำคัญที่ติดโทษแบนในเกมนี้

เจ้าบ้าน คาร์ราเรเซ่ ของนายใหญ่ ซิลวิโอ้ บัลดินี่ จะหมดสิทธิ์ใช้งาน ฟอเรสต้า(2นัด)กองกลางที่บาดเจ็บอยู่ก่อนหน้า อย่างไรก็ดีพวกเขาเตรียมเช็คความฟิตของ เบนติเวคน่า(10นัด/1ประตู)กองหน้าว่าจะพร้อมลงสอดแทรก เควิน ปิสโกโป้(10นัด/2ประตู),อังเดรีย วาสซัลโล่(8นัด/2ประตู)และ ฟรานเชสโก้ ตาวาโน่(11นัด/6ประตู)ได้หรือไม่

ส่วนทีมเยือน กอริติบ้า กำลังควานหาชัยชนะเป็นนัดที่ 3 ติดต่อกันหลังเพิ่งเอาชนะ อาไว 4-0 ในเกมล่าสุด ส่วนความพร้อมในเกมนี้ อเล็กซานโดร(15นัด/1ประตู)กับ เนโต้ เบโรล่า(15นัด/1ประตู)สองกองหน้า และ โรดริโก้ รามอส(3นัด)แนวรับ ส่วนแข้งที่คาดว่าจะลงสนามในเกมนี้ยังคงไว้ใจให้ ริวโด้(29นัด/6ประตู)กับ เคียร์ริสัน(4นัด)เป็นคู่หัวหอกในระบบ 4-3-1-2 โดยมี ธิอาโก้ เรอัล(19นัด/1ประตู)เป็นเพลย์เมกเกอร์

เจ้าบ้าน ฟลูมิเนนเซ่ เริ่มกลับมาเก็บชัยได้อีกครั้งหลังล่าสุดเพิ่งชนะโบตาโฟโก้ 2-1 ในบ้านแถมจะได้เฝ้ารังลุ้นเก็บชัยเป็นเกมที่สอง อย่างไรก็ดีสภาพความพร้อมในเกมนี้จะไร้เงา เรจินัลโด้(17นัด/1ประตู)ประการหลักตัวหลักที่ติดโทษแบน เช่นเดียวกับ มาร์ควินญอส(4นัด)กับ ริชาร์ด(8นัด)สองกองหน้า และ ปีแอร์(1นัด)กองกลางที่เดี้ยงยาวมาก่อนหน้านี้ ส่วนแดนหน้าเกมนี้เตรียมวาง มาร์กอส จูเนียร์,เฮนริเก้ โดอูราโด้ และ กุสตาโว่ สการ์ป้า เป็นสามประสานในระบบ 4-3-3

เจา เปาโล่ ซานเชส นายใหญ่ประจำทีมจะไร้เงาแข้งจากโทษแบนเช่นกันหลัง อังเดร คาสโตร(17นัด)แข้งแนวรับกัปตันทีมจะหมดสิทธิ์ลงช่วยทีม แถมยังจะไม่มีแข้งตัวเจ็บอย่าง โรเจอร์ คาร์วัลโญ่(19นัด)และ บรูโน่ ปาเชโก้(29นัด)สองแนวรับ ส่วนผู้เล่นตัวหลักในเกมนี้ชะได้เห็ย วัลเตอร์(25นัด/5ประตู) ลงยืนเป็นหน้าเป้าพร้อมกับวาง หลุยส์ เฟร์นานโด(28นัด/7ประตู) คอยปั้นเกมอยู่ด้านหลัง

ออสวัลโด้ เด โอลิเวร่า เทรนเนอร์ แอตฯมิไนโร่ ยังคงต้องหาทางนำทีมกลับเข้าฝั่งต่อไปหลังหลุดฟอร์มพ่าย ซานโตส 1-3 ในนัดล่าสุด แถมความพร้อมในเกมนี้ยังจะไร้เงาแข้งตัวเจ็บหลายรายไม่ว่าจะเป็น คาร์ลอส เซซาร์(1นัด)แบ็กขวา,ฟริคสัน เอร่าโซ่(2นัด)เซนเตอร์ และ ไกย์ตัน(3นัด)กลางตัวรุก ส่วนในรายของ โรมูโร่ โอเตโร่(23นัด/3ประตู)ตัวรุกเวเนซูเอล่าดันติดโทษแบนในเกมนี้ ส่วนทีเด็ดในเกมนี้ยังคงไว้ใจมห้ เฟร็ด(24นัด/8ประตู) ลงยืนเป็นหน้าเป้าโดยมี โรบินโญ่(24นัด/5ประตู) รับบทเป็นเพลย์เมกเกอร์ในระบบ 4-2-3-1

ส่วนทีมเยือน ชาเปโคเอนเซ่ ถึงแม้จะไม่แพ้ใครมา 4 เกมรวดก็ติด ทว่าฟอร์ม 2 เกมหลังดูชักจะฝืดไปซักหน่อยหลังเจ๊ามาเรียบ แถมเกมนี้ยังมีปัญหาแนวรับให้ผู้จัดการทีมต้องปวดหัวเมื่อ ดั๊กลาส กอร์ลี่(19นัด/1ประตู)แนวรับคนสำคัญและ เซร์ญาส(18นัด)กองกลางจอมทัพต่างมีปัญหาบาดเจ็บในยามนี้ นอกจากนี้แนวรับวัย 27 ปีอย่าง ดั๊กลาส(6นัด)จะหมดสิทธิ์ลงสนามในเกมนี้จากโทษแบน

เจ้าบ้าน เซาเปาโล กำลังอยู่ในช่วงโกยแต้มอย่างต่อเนื่องหลังพวกเขาชนะคู่แข่งไปถึง 4 จาก 5 เกมหลังสุด ส่วนความพร้อมในเกมนี้กุนซือ โดริวัล จูเนียร์ มีปัญหาในการจัดทัพพอสมควรหลังแข้งแกนหลักตัวชูโรงต่างติดภาระกิจรับใช้ชาติไม่ว่าจะเป็น โรเบิร์ต อาร์โบเรด้า(19นัด/2ประตู)แนวรับเอกวาดอร์ และ คูเอว่า(25นัด/3ประตู)ตัวปั้นเกมคนสำคัญ แถมยังมีตัวเจ็บอย่าง เรนาน ริเบร์โร่(20นัด)ผู้รักษาประตูมือหนึ่งรวมถึงผู้เล่นเอาท์ฟิลด์อย่าง บรูโน่(9นัด), เอเดอร์ มิลิตัล(18นัด/1ประตู)และมาร์ซินโญ่(22นัด/2ประตู)ที่ยังบาดเจ็บ