วิเคราะห์บอล / วิเคราะห์บอลวันนี้

พอล คุก กุนซือ วีแกน เกมนี้จะไร้เงาตัวเจ็บหน้าเก่าอย่าง คริสเตียน วอลตัน (4 นัด), เคร็ก มอร์แกน (-) และ ฌอน แม็คโดนัลด์ (-) รวมถึง ลี อีแวนส์ กองกลางตัวหลักที่ยังติดโทษแบนต่อไป ทว่าดูทรงแล้วไม่น่าจะส่งผลอะไรต่อทีมมากนักเพราะพวกเขาต่างทำผลงานร้อนแรงต่อเนื่องซิวชัยไป 4 เกมรวดรั้งจ่าฝูงในยามนี้ นอกจากนี้ยังจะได้ รีซ เจมส์ (9 นัด) กองหลังที่เพิ่งหายเจ็บกลับมาเป็นตัวเลือกอย่าง เช่นเดียวกับแนวรุก อีวาน โทนี่ย์ ที่จะมีลุ้นออกสตาร์ทตัวจริงเช่นกัน

ปีเตอร์ เทย์เลอร์ กุนซือขัดตาทัพของ สตีฟ โลเวลล์ มีข่าวดีก่อนเกมเมื่อ ทอม เอียเวส (9 นัด/4 ประตู) หัวหอกตัวเก่งพ้นโทษแบนกลับมาช่วยทีมได้ทันเวลา แต่แข้งเดี้ยงหน้าเก่าอย่าง ลุค โอนีลล์ (9 นัด), อเล็กซ์ เลซี่ย์ (9 นัด) และ อารอน มอร์ริส (-)ยังคงไม่หายจากอาการบาดเจ็บ ทำให้บรรดาแกนหลักหน้าเดิมอย่าง ลี มาร์ติน (10 นัด 1 ประตู),มักซ์ เอียห์เมอร์ (11 นัด)ต่างพร้อมลงคุมแดนกลางโดยมี กาเบรียล ซาคูอานี่ (11 นัด)แนวรับชาวดีอาร์คองโกต่างพร้อมลงเป็นคีย์แมนต่อไป

ส่วนทีมเยือน พอร์ทสมัธ ของกุนซือ คนนี่ แจ็คเก็ตต์ จะหมดสิทธิ์ใช้งาน ดรูว์ ทัลบ็อต (4 นัด) กองหลังมากประสบการณ์ที่เจ็บเพิ่มเติมเข้ามาเช่นเดียวกับ เบรตต์ พิตแมน (11 นัด 9 ประตู) แนวรุกวัย 29 ปีที่เดี้ยงยาว อย่างไรก็ดีสองแนวรับที่คัมแบ็กมาตั้งแต่เกมที่แล้วอย่าง คริสเตียน เบอร์เกสส์ (11 นัด) กับ นาธาน ธอมป์สัน (9 นัด)น่าจะพร้อมลงสนามได้ต่อเนื่อง รวมถึง คอเนอร์ แชปลิน (8 นัด 2 ประตู) ตัวรุกดาวรุ่งจะฟิตกลับมาลงสนามอีกครั้ง

ดาร์เรน เฟอร์กูสัน ผู้จัดการทีม ดอนคาสเตอร์ จำเป็นต้องนำทีมกลับมาเก็บแต้มให้ได้อีกครั้งหลังเพิ่งบุกไปสะดุดพ่ายทีมหัวตารางอย่าง ชาร์ลตัน 0-1 ซึ่งเกมนี้ดูเหมือนเจ้าถิ่นจะมีปัญหาหลักๆในเรื่องเกมรุกหลังจะหมดสิทธิ์ใช้งานกองหน้าอย่าง แอนดี้ วิลเลี่ยม์(4นัด),เจมส์ ค็อปปิงเกอร์(13นัด/1ประตู),อัลฟี่ เมย์(13นัด/3ประตู) รวมถึงกองหน้าตัวหลักอย่าง จอห์น มาร์กิส(13นัด/5ประตู)ดันมาติดโทษแบนในเกมนี้อีก ทำให้ทีเด็ดในแนวรุกจะเหลือเพียงแค่ เลียม แมนเดวิลล์(10นัด)เท่านั้น

ส่วนทางฝั่ง ชาร์ลตัน แอธเลติก ของเทรนเนอร์ คาร์ล โรบินสัน ยังคงดีกรีความร้อนแรงต่อเนื่องหลังกำชัยมา 2 เกมติดรั้งอันดับ 5 ในยามนี้ ส่วนความพร้อมก่อนเกมจัดว่าค่อนข้างฟูลทีมเพราะจะขาดแข้งขาประจำอย่าง เจสัน เพียร์ซ(9นัด)แนวรับเพียงรายเดียวเท่านั้นที่ยังบาดเจ็บ ส่วนตัวหลักในเกมนี้คาดว่ายังคงไว้ใจให้ จอช แมเกนนิส (10 นัด/4 ประตู) หัวหอกมากประสบการณ์ชาวไอร์แลนด์เหนือลงยืนเป็นหน้าเป้า โดยมี บิลลี คล๊าร์ค(12นัด/1ประตู) เป็นตัวสนับสนุน

เจ้าบ้าน อ็อกซ์ฟอร์ด ยูไนเต็ด จัดว่าอยู่ในฟอร์มเข้าฟักพอสมควรหลังบุกชนะ บริสตอล โรเวอร์ส 1-0 เก็บสถิติชนะ 3 จาก 4 เกมหลังยังไม่แพ้ใคร ส่วนความพร้อมก่อนเกมแม้มีข่าวดีคือมีลุ้นได้ตัว ดไวจ์ท เตียนดัลลี่ (1 นัด)แนวรับที่เจ็บไปนานกับ จิโน่ ฟาน เคสเซล (9 นัด/2 ประตู)กองหน้าตัวเก่งสลัดเดี้ยงกลับมา แต่ก็ต้องสังเวย โจเซฟ รอธเวลล์(12นัด/3ประตู)กองกลางคนสำคัญที่จะติดโทษแบนในเกมนี้ ส่วนกองหน้าตัวเก่งอีกรายอย่าง ร็อบ ฮอลล์ (10 นัด/2 ประตู)อาจมีโอกาสออกสตาร์ทเป็นตัวจริงเกมนี้อีกครั้ง

ส่วนทีมเยือน เซบีญ่า ของกุนซือ เอดูอาร์โด้ เบริซโซ่ เตรียมปรับหมากในแผงแนวรับจากเกมพ่าย บิลเบา 0-1 โดยการส่ง กาเบรียล เมร์กาโด้ ออกสตาร์ทตัวจริงคู่กับ แกลร์กมงต์ ล็องเล่ต์ นั่นเท่ากับว่า ไซม่อน เคียร์ จะหลุดเป็นสำรองในเกมนี้รวมถึงสองแนวรับอย่าง ดาเนี่ยล การ์ริโก้ และ นิโก้ ปาเรฆ่า ที่ยังไม่พร้อมคืนสนามจากอาการบาดเจ็บ แถมยังจะขาดแกนหลักแดนกลางอย่าง สเตเว่น เอ็นซองซี่่ ที่เดี้ยงเข้ามาเปนรายล่าสุดและจะได้เห็น กานโซ่ ลงมาแทนที่โดยมี กีโด้ ปิซาร์โร่ เป็นจอมทัพร่วมกัน

เซบีญ่า (4-2-3-1) : เซร์กิโอ ริโก้ ; เซบาสเตียน คอร์เชีย, กาเบรียล เมร์กาโด้, แกลร์กมงต์ ล็องเล่ต์, เซร์กิโอ เอสกูเดโร่ ; กีโด้ ปิซาร์โร่, กานโซ่,โจอากิน คอร์เรอา, เฆซุส นาบาส, โนลิโต้ - วิสซัม เบน เยดเดอร์

เจ้าบ้าน สปาร์ตัก มอสโก ของกุนซือ มัสซิโม่ คาร์เรร่า จะหมดสิทธิ์ใช้งานคีย์แมนแต่ละตำแหน่งไม่ว่าจะเป็น เซ หลุยส์ หัวหอกตัวเก่ง, ยาโน อนานิดเซ่ กองกลางจอร์เจีย รวมไปถึง อาร์เต็ม เรบรอฟ นายทวารมือหนึ่ง และ อาร์เต็ม ติโมเฟเยฟ กองกลางดาวรุ่งที่เดี้ยงเพิ่มเติมเข้ามา ทำให้เกมนี้จะได้เห็น อเล็กซานเดร์ เซลิฮอฟ นายทวารมือสองรับบทบาทต่อไปอีกนัด ส่วนกองหน้าในเกมนี้ยังคงวาง หลุยซ์ อาเดรียโน่ หัวหอกบราซิเลี่ยนรับบทตัวเป้าเดี่ยวโดยมี อเล็กซานเดอร์ ซาเมดอฟ เป็นเพลย์เมกเกอร์ด้านหลัง

สปาร์ตัก มอสโก (4-5-1) : อเล็กซานเดร์ เซลิฮอฟ - อันเดรย์ เอชเชนโก้, จอร์จี้ จิเกีย, แซร์ดาร์ ทาสซี่, ดมิทรี คอมบารอฟ - เดนิส กลูชาคอฟ, แฟร์นานโด - เปโดร โรช่า, อเล็กซานเดอร์ ซาเมดอฟ, ควินซี่ โพรเมส - หลุยซ์ อาเดรียโน่

ส่วนทีมเยือน "หงส์แดง" ภายใต้การนำของ เจอร์เก้น คล็อปป์ ยังคงต่อรอการคัมแบ็กของ นาธาเนี่ยล ไคลน์ และ อดัม ลัลลาน่า ที่คาดว่าจะพร้อมช่วยทีมได้ในเดือนหน้า เช่นเดี่ยวกับ ซาดิโอ มาเน่ ปีกตัวเก่งประจำทีมที่ดันเดี้ยงมาจากเกมทีมชาติต้องพักราวๆ 6 สัปดาห์ด้วยกัน คาดว่าเกมนี้จะได้เห็นตัวแทนจากอังกฤษปรับทัพกันยกใหญ่เพื่อเติมความสด ซึ่งเกมนี้จะได้เห็น เทรนต์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ ลงแทน โจ โกเมซ ที่ติดโทษแบนรวมไปถึง เจมส์ มิลเนอร์ จะถูกส่งลงมาเติมความเก๋าในแดนกลาง พร้อมกับถอย ฟิลิปเป้ คูตินโญ่ รับบทเพลย์เมกเกอร์กลางสนาม

ลิเวอร์พูล (4-3-3) : ลอริส คาริอุส - เทรนต์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์, โจเอล มาติป, เดยัน ลอฟเรน, อัลเบร์โต้ โมเรโน่ - เจมส์ มิลเนอร์, จอร์แดน เฮนเดอร์สัน, ฟิลิปเป้ คูตินโญ่ - โมฮาเหม็ด ซาล่าห์, โรแบร์โต้ เฟียร์มิโน่ ,แดเนี่ยล สเตอร์ริดจ์

เจ้าบ้าน มาริบอร์ ตัวแทนจากสโลวีเนียกำลังจมบ๋วยของกลุ่มหลังยังไม่ชนะใครตลอด 2 เกมใน ชปล. ซีซั่นนี้ส่วนความพร้อมก่อนเกมในนัดนี้นายใหญ่ ดาร์โก้ มิลานิซ ยังคงไร้เงาเซนเตอร์ฮาร์ฟตัวหลักอย่าง มาร์โก ซูเลอร์ ที่บาดเจ็บตั้งแต่เดือนที่แล้ว ทว่ายังดีที่ ฌอง-โคลด บิลลงก์ ปราการหลังร่างโย่งจากสโมสร รูด้าร์ ต่างทดแทนตำแหน่งได้เป็นอย่างดี ส่วนตำแหน่งอื่นๆที่เหลือยังคงได้เห็นผู้เล่นส่วนใหญ่จากเกมพ่าย เซบีญ่า นำโดย มาร์คอส ตาวาเรส ดาวยิงแซมบ้าเป็นหน้าเป้าโดยมี เกรเกอร์ บายเด้, ลูก้า ซาโฮวิช กับ ดามยาน โบฮาร์ เป็นตัวสนับสนุน

มาริบอร์ (4-2-3-1) : ยาสมิน ฮันดาโนวิซ - มาร์ติน มิเลก, อเล็คซานเดอร์ รายเซวิซ, ฌอง-โคลด บิลลงก์, มิตย่า วิเลอร์ - มารูวาน คาบ้า, บลาซ เวอร์โฮเว็ก - เกรเกอร์ บายเด้, ลูก้า ซาโฮวิช, ดามยาน โบฮาร์ - มาร์คอส ตาวาเรส

ส่วนทีมเยือน วิตอเรีย กลับมาหลุดฟอร์มให้เห็นเช่นกันในเกมล่าสุดหลังพ่าย สปอร์ต คลับ เรซิเฟ่ 1-2 คาบ้านมาหมาดๆ ซึ่งเกมนี้พวกเขามีปัญหาให้ต้องปรับหมากพอสมควรเมื่อ เฟอร์นานโด มิเกล มือกาวจอมเก๋ายังไม่สามารถสลัดเดี้ยงกลับมาช่วยทีมได้ทันเวลา รวมไปถึง อังเดร ลิม่า(12/3ประตู)กองหน้าตัวสำรองที่ถูกเหลืองแดงไล่ออกใน่ช่วงท้ายเกมนัดที่แล้วทำให้เกมนี้จะได้เห็นการปรับหมากจาก 4-2-3-1 มาเล่น 4-3-3 โดยมี นีลตัน (21 นัด/6 ประตู), ซานติอาโก้ เตเลซ (13 นัด/6 ประตู) และ ดาวิด (25 นัด/3 ประตู) เป็นตัวยืนตามเดิม

เจ้าบ้าน ซานโต๊ส ทำได้เพียง เสมอ ปอนเต้ เปรต้า 1-1 เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ทำให้ตอนนี้พวกเขาถูก เกรมิโอ้ เบียดขึ้นมารั้งรองจ่าฝูงเป็นที่เรียบร้อยก่อนลงสนาม ส่วนความพร้อมก่อนเกมแม้จะมีข่าวดีคือการได้ตัว ลูคัส ลิม่า (17 นัด/1 ประตู)เพลย์เมกเกอร์ตัวหลักหายเจ็บสะโพกกลับมาตั้งแต่เกมที่แล้ว แต่ตัวเจ็บหน้าเดิมอย่าง วิคตอร์ บูเอโน่(8นัด),กุสตาโว่ เฮนริเก้(2นัด)และ วิคตอร์ เฟร์ราส(15นัด/2ประตู)แนวรับคนสำคัญต่างยังไม่พร้อมในเกมนี้ ทำให้โฉมหน้าในแนวรุกภายใต้ระะบบ 4-2-1-3 คงหนีไม่พ้น โจนาธาน โคเปอเต้ (21 นัด/5 ประตู), บรูโน่ เฮนริเก้ (21 นัด/6 ประตู) และ เคย์เก้ (21 นัด/3 ประตู)

ทีมเยือน ลูโก้ ของกุนซือ ฟรานซิสโก้ จัดว่าผลงานดีกว่าเจ้าถิ่นพอสมควรหลังเพิ่งเปิดบ้าน ชนะ กอร์โดบ้า 2-0 เก็บสถิติชนะคู่แข่งไปถึง 3 จาก 4 เกมเข้าไปแล้ว ส่วนความพร้อมในเกมนี้ยังคงไร้เงากองกลางจอมทัพอย่าง วิโก้(7นัด/1ประตู)ที่ยังบาดเจ็บเช่นเดียวกับ กิล(3นัด)และ การ์โมน่า(-) แต่ตัวหลักแนวรุกอย่าง คริสเตียน(9นัด),เอียโอเม่ กอนซาเลซ(9นัด/3ประตู) รวมถึงจอมทัพอย่าง รามอน อาซีซ(9นัด/1ประตู)ต่างพร้อมลงบู๊ครบเซ็ต

กุนซือ ฆูลิโอ เบลาซเกวซ กำลังอยู่ในช่วงปวดหัวหนักหลังแพ้มา 4 เกมรวดเข้าไปแล้ว อย่างไรก็ดียังพอมีเรื่องดีๆเข้ามาบ้างเมื่อ 2 คีย์แมนอย่าง กาสโตผู้รักษาประตูมือหนึ่ง (7 นัด) และ จอมทัพแดนกลาง โจน เอร์รัสติ (8 นัด)จะพ้นโทษแบนกลับมาช่วยทีมไดอีกครั้ง ทำให้จะเหลือ กาเดอร์ (3 นัด) และ โนนโย่ (4 นัด)สองแดนกลางที่ยังบาดเจ็บอยู่เท่านั้น ทำให้ตัวทีเด็ดในแนวรุกต้องฝากความหวังไว้ที่ เปนย่า (2 ประตู), ดอร์ก้า (1 ประตู) และ อัลบาโร่ กิเมเนซ (1 ประตู)ต่อไป

ส่วน มิชาเอล โคลเนอร์ เทรนเนอร์ เนิร์นแบร์ก เริ่มออกลูกสะดุดเล็กน้อยหลังเปิดรัง แพ้ อาร์มีเนีย บีเลเฟลด์ 1-2 ทั้งที่ 3 เกมก่อนหน้านั้นพวกเขาจะซิวชัยมา 3 เกมรวด ส่วนความพร้อมก่อนเกมพวกเขาเริ่มทยอยได้แกนหลักสลัดเดี้ยงมาช่วยทีมและจะเหลือเพียงแค่ เซบาสเตียน แคร์ก (3 นัด)กองกลาง รวมถึงกองหน้าอย่าง อดัม ซเร็ค (2 นัด)เท่านั้นที่ยังต้องรอการคัมแบ็กต่อไป ส่วนแนวรับจะมีชื่อ พาทริค คัมเมอร์บอยเออร์ (4 นัด) รวมถึงกองกลางคนสำคัญอย่าง เควิน โมห์วัลด์ (8นัด/3ประตู)ออกสตาร์ทเป็นตัวจริงพร้อมกับวาง มิคาเอล อิชัค (9นัด/6ประตู) จับคู่กับ เซดริก ทอยแชร์ต (9นัด/3ประตู)ตามคาด

ทอร์สเท่น ฟริ๊งก์ เทรนเนอร์เจ้าถิ่นมีการบ้านให้ต้องแก้อีกเยอะหลัง ดาร์มสตัดท์ กำลังอยู่ในช่วงฟอร์มตกไม่ชนะมา 3 เกมรวด(เสมอ2แพ้1) แถมในเกมนี้พวกเขาพวกเขาต้องลุ้นเช็คฟิตแกนหลักถึงสองรายโดยเฉพาะกัปตันทีมอย่าง ซูลู(9นัด/3ประตู)แนวรับคนสำคัญ รวมไปถึง คามาวูอาก้า(8นัด/1ประตู)กองกลางตัวทีเด็ด ส่วนแกนหลักที่เหลืออย่าง อาร์เทอร์ โซบีช ยังพร้อมลงลุยหน้าเป้า โดยมี โทเบียส เคมพ์, จูเลี่ยน ฟอน ฮักเก้ และ เควิน โกร๊สครอยซ์ เป็นตัวสนับสนุน

ทีมเยือน ลิงบี้ ยกระดับฟอร์มการเล่นขึ้นมาต่อเนื่องและหลุดพ่ายเพียงแค่เกมเดียวตลอด 5 เกมหลังสุดเท่านั้น ส่วนความพร้อมก่อนเกมพวกเขาจะหมดสิทธิ์ใช้งาน แจสเปอร์ คริสเตียนเซ่น(11นัด/1ประตู)กองกลางที่ถูกคาดโทษในเกมนี้ ส่วนผังแนวรุกอย่าง คริสโตเฟอร์ ลาร์เซ่น(10นัด/1ประตู), ไมรอน จอร์จ(4นัด/3ประตู)และ มิคเกล ไรการ์ด เจนเซ่น(9นัด)ยังพร้อมลงบู๊ตามคาด

หลังจากแพ้มา 2 เกมติดในที่สุด อาร์ฮุส กลับคัมแบ็คด้วยฟอร์มสวยหรูจากการบุกถล่ม เอฟซี เฮลซิงกอร์ 5-1 ทำให้ความมั่นใจกับการเฝ้าถิ่นในนัดนี้จัดว่ามีมากโข ส่วนสภาพความพร้อมก่อนเกมถือว่าดูดีไม่น้อยเพราะจะขาดเพียงแค่ อเล็กซานเดอร์ แอนเดอร์สัน(1นัด)แนวรับที่ยังบาดเจ็บ ส่วนทีเด็ดในเกมนี้เตรียมวาง กาสเปอร์ ยันเกอร์ ที่เหมาคนเดียวสองประตูในเกมที่แล้วจะถูกวางเป็นทีเด็ดในแดนหน้า

ส่วนทีมเยือน สตาเบ็ค ทีมอันดับ 9 เพิ่งเก็บชัยได้เป็นเกมแรกเหนือ วาเลเรนก้า 4-2 ซึ่งถือเป็นชัยชนะเกมแรกในรอบ 5 นัดหลังเลยทีเดียว(เสมอ2แพ้2) ส่วนความพร้อมก่อนเกมพวกเขาไร้ปัญหาตัวเจ็บตัวแบนให้กังวลใจและยังคงไว้ใจให้ โอฮี โอมอยยูอันโฟ(23นัด/17ประตู) ลงยืนเป็นหน้าเป้าในระบบ 4-2-3-1 พร้อมกับวาง ลุค กาสซี่(20นัด/4ประตู)เป็นเพลย์เมกเกอร์อยู่ด้านหลัง

เจ้าบ้าน ชาร์ปบอร์ก ทีมอันดับ 3 ของตาราง เพิ่งจะบุกไปเสมอ โรเซนบอร์ก 1-1 เป็นการยุติชัยชนะเพียงแค่ 2 นัดติดเท่านั้น ส่วนความพร้อมในเกมนี้จะหมดสิทธิ์ใช้งานแน่ๆก็คือ ซิเกิร์ด โรสเตด(22นัด/4ประตู)แนวรับ 23 กระรัตที่ติดโทษแบนในเกมนี้ อีกทั้งยังต้องเช็คความฟิต นิโคไล พอลเซ่น(4นัด)กองกลางตัวสำรองว่าจะฟิตทันหรือไม่ ส่วนทีเด็ดในเกมนี้ยังคงได้เห็น เคร์ปิน ดิอัตต้า(16นัด/2ประตู) กับ แพทริค มอร์เทนเซ่น(24นัด/9ประตู)ในระบบ 4-4-2

โรลันโด้ มารัน นายใหญ่ทีมเยือนอยู่ในสภาพทีมค่อนข้างพร้อมหลังจะขาดเพียงแค่ เพอร์พาริม ฮาเตมาย และ ริคคาร์โด้ เม็กโกรินี่ จึงไม่แปลกที่พวกเขาเริ่มยกระดับฟอร์มและซิวชัยมา 2 เกมรวด คาดว่าเกมนี้พวกเขาเตรียมขนตัวหลักลงบู๊ตามคาดไม่ว่าจะเป็น วอลเตอร์ เบียร์ซ่าลงปั้นเกมในบทบาทเพลย์เมกเกอร์โดยมี โรแบร์โต้ อินเกลเซ่ กับ มานูเอล ปุคคาเรลลี่ เป็นคู่กองหน้า

คิเอโว่ (4-3-1-2) : สเตฟาโน่ ซอร์เรนติโน่ - เนน้าด โทโมวิช, ดาริโอ ดายเนลลี่, อเลสซานโดร กัมเบรินี่, ฟาบริซิโอ จัคคาตอเร่ - ลูกัส กาสโตร, อีวาน ราโดวาโนวิช, ซามูเอล บาสเตียง - วอลเตอร์ เบียร์ซ่า - โรแบร์โต้ อินเกลเซ่, มานูเอล ปุคคาเรลลี่

คริสเตียน บุคคี่ เทรนเนอร์ ซัสซัวโล่ ยังคงหมดสิทธิ์ใช้งานสองแนวรับอย่าง โคล้ด อาฌาปง (6 นัด)กับ ติโม เล็ตส์เชิร์ต (5 นัด)ที่ยังบาดเจ็บอยู่ แต่ยังพอมีข่าวดีเมื่อ ฟรานเชสโก้ มายาเนลลี่ (6 นัด) จอมทัพตัวเก๋าพร้อมกับมาช่วยทีมอีกครั้ง พร้อมกับปรับแทคติกในเล่นหลังสี่โดยมี เปาโล คันนาวาโร่กับ ฟรานเชสโก้ อาแชร์บี้ ปักหลักเป็นปราการหลังร่วมกัน ส่วนโซนแนวรุกจะใช้ โดมินิโก้ เบราร์ดี้, อเลสซานโดร มาตรี้ และ ดีเอโก้ ฟัลซิเนลลี่ เป็นตัวชูโรง

ซัสซัวโล่ (4-3-3) : อันเดรีย คอนซิยี่ - มาร์เชลโล่ กัซโซล่า, เปาโล คันนาวาโร่, ฟรานเชสโก้ อาแชร์บี้, เฟเดริโก้ เปรูโซ่ - สเตฟาโน่ เซนซี่, ฟรานเชสโก้ มายาเนลลี่, อัลเฟร็ด ดันแคน - โดมินิโก้ เบราร์ดี้, อเลสซานโดร มาตรี้, ดีเอโก้ ฟัลซิเนลลี่

ส่วนเทรนเนอร์ จาน ปิเอโร่ กัสเปรินี่ จะไม่มีชื่อของราฟาเอล โตลอย กองหลังตัวเก่งที่ยังบาดเจ็บอยู่ ส่วนตัวผู้เล่นในเกมนี้คาดว่าจะมีการปรับทัพโดยการส่ง อันเดรีย เพตาญ่า ออกสตาร์ทตัวจริงในแดนหน้าแทนที่ อันเดรียส คอร์เนลิอุส โดยมี เลโอนาร์โด้ สปินัซโซล่า กับ ฮันส์ ฮาเตบัวร์ คอยปั้นเกมรุกอยู่ด้านหลังในตำแหน่งริมเส้น

อตาลันต้า (3-4-2-1) : เอทริต เบริช่า - อันเดรีย มาซิเอลโล่, มัตเตีย คัลดาร่า, โฮเซ่ ปาโลมิโน่ - ฮันส์ ฮาเตบัวร์, เรโม ฟรูแลร์, ไบรอัน คริสเตียนเต้, เลโอนาร์โด้ สปินัซโซล่า - ยาสมิน เคอร์ติซ, อเลฆานโดร โกเมซ - อันเดรีย เพตาญ่า

กุนซือ มาร์โก จามเปาโล ไม่มีรายงานตัวเจ็บตกค้างมาจากเดมล่าสุดก็จริงทว่าพวกเขาก็ต้องสังเวย เอ็ดการ์ บาร์เรโต้ ห้องเครื่องปารากวัยที่จะถูกคาดโทษในเกมนี้ อย่างไรก็ดีแข้งตัวหลักขาประจำยังคงพร้อมคืนสนามไร้ตั้งแต่แนวรุกอย่าง กาสตัน รามิเรซ รวมไปถึงสองคู่หน้า ฟาบิโอ กวายาเรลล่า กับ ดาเนี่ยล ซาปาต้า ที่ไม่พลาดในเกมนี้

ซามพ์โดเรีย (4-3-1-2) : คริสเตียน พัคกิโอนี่ - บาสตอส เบเรสซินสกี้, มาติอัส ซิลเวสเตร, จานมาร์โก้ แฟร์รารี่, อิวาน สตรินิช - คารอล ลิเน็ตตี้, ลูคัส ตอร์ไรร่า, เดนนิส ปราเอ้ต์ - กาสตัน รามิเรซ - ฟาบิโอ กวายาเรลล่า, ดาเนี่ยล ซาปาต้า

มาร์เซลิโน่ เทรนเนอร์ บาเลนเซีย อยู่ในช่วงฟอร์มรบต่อเนื่องเพราะจะขาดเพียงแค่ ฆาบี กิมิเนซ ที่บาดเจ็บและไม่มีส่วนในร่วมในซีซั่นนี้อยู่แล้ว นอกจากนี้ยังมีข่าวดีคือจะได้ จอฟเฟรย์ ก็องด็อกเบีย ห้องเครื่องตัวเก่งพ้นโทษแบนกลับมา ส่งผลให้ อันเดรียส เปไรร่า ต้องกลับไปนั่งสำรอง ส่วนคีย์แมนสำคัญยังคงเป็น ซิโมเน่ ซาซ่า กับ โรดริโก้ โมเรโน่ ที่ซัดรวมกันไป 10 ประตูลงล่าตาข่าย

บาเลนเซีย (4-4-2) : เนโต้ ; มาร์ติน มอนโตย่า, กาเบรียล เปาลิสต้า, เอเซเกล การาย, โฆเซ่ กาย่า ; การ์ลอส โซเลร์, ดาเนี่ยล ปาเรโฆ่, จอฟเฟรย์ ก็องด็อกเบีย, กอนกาโล่ กูเอเดส ; โรดริโก้ โมเรโน่, ซิโมเน่ ซาซ่า

กีเก้ ซาเตียน กุนซือ เรอัล เบติส จะหมดสิทธิ์ใช้งาน ฆาบี การ์เซีย ที่บาดเจ็บจากเกมที่แล้วก่อนช่วงพักเบรคทีมชาติทำให้ อันเดรส กวาร์ดาโด้ อาจต้องขยับลงมาแทนที่ อย่างไรก็ดีพวกเขามีลุ้นได้ตัว บิคตอร์ กามาราซ่า มิดฟิลด์ตัวคีย์แมนคืนสนามได้ทันเวลา พร้อมกับวาง ฆัวกิน ซานเชซ, อันโตนิโอ ซานาเบรีย และ เซร์คิโอ เลออน เป็นทีเด็ดแดนหน้าร่วมกัน

เรอัล เบติส (4-3-3) : อันโตนิโอ อาดาน ; อันโตนิโอ บาร์รากัน, อิสซ่า ม็องดี้, ซูเอียร์ เฟดดาล, รีซ่า ดูร์มิซี่ ; ฟาเบียน รูอิซ, อันเดรส กวาร์ดาโด้, บิคตอร์ กามาราซ่า ; ฆัวกิน ซานเชซ, อันโตนิโอ ซานาเบรีย, เซร์คิโอ เลออน

อาเซียร์ การีตาโน่ กุนซือ เลกาเนส จะได้ตัว เอเซเกว มูนญอซ หายเจ็บหลังกลับมาเป็นทางเลือก ทว่ามีแนวโน้มที่นายใหญ่จะยังไว้ใจชุดเดิมจากเกม แอตฯมาดริด 0-0 ลงสนามนำโดย เอราโซ่, รูเบน เปเรซ, กาเบรียล ปีเรส และ อเล็กซานเดอร์ ซีมานอฟสกี้ ลงประจำตำแหน่งแนวรุกครบเซ็ต

เลกาเนส (4-2-3-1) : อิวาน กูเอร์ย่า ; โฆเซบา ซัลดูอา, ดิมิตริออส ซิโอวาส, เมาโร ดอส ซานโต๊ส, ราอูล การ์เซีย ; เอราโซ่, รูเบน เปเรซ, กาเบรียล ปีเรส ; ดาร์โก้ บราซานัช, เคลาดิโอ บัววิว, อเล็กซานเดอร์ ซีมานอฟสกี้

เจ้าบ้านบ้าน มาลาก้า จะไร้ชื่อของ เฟเดริโก้ ริกก้า แบ็คซ้ายตัวหลักที่เจ็บมาจากเกมทีมชาติทำให้ต้องส่ง ฆวน การ์ลอส ลงปักหลักแทน เช่นเดียวกับเซ็นเตอร์แบ็คอย่าง ดีเอโก้ กอนซาเลซ ที่ไม่มีชื่อในเกมนี้และจะเป็น หลุยส์ เอร์นานเดซ ต้องจับคู่ ปอล บายาสเซ่ แก้ขัดไปก่อน แต่ยังพอมีข่าวดีเมื่อ ซดราฟโก้ คุซมาโนวิช ห้องเครื่องชาวเซิร์บพ้นโทษแบนกลับมาช่วยทีมได้ทันเวลา

มาลาก้า (4-3-3) : โรเบร์โต้ ฆิมิเนซ ; โรเบร์โต้ โรซาเลส, ลุยส์ เอร์นานเดซ, ปอล บายาสเซ่, ฆวน เปเรซ ; เรซีโอ้, ซดราฟโก้ คุซมาโนวิช, อาเดรียน กอนซาเลซ ; ดีเอโก้ โรลัน, บอร์ฆ่า บาสยอน, อเลฆานโดร มูล่า

ฆาบี กาเยย่า เทรนเนอร์ป้ายแดงที่เข้ามาคุมทัพชั่วคราว ไม่มีปัญหาตัวบาดเจ็บจากพักเบรคทีมชาติก็จริงทว่าเกมนี้จะไม่มี ฆัวเม่ คอสต้า แบ็คซ้ายตัวหลักที่บาดเจ็บเล็กน้อยทำให้ อันโตนิโอ รูกาวิน่า จะลงเล่นแทนและอาจมีการปรับแท็คติกโดยการส่ง ซามู กัสติเญโฆ่ มายืนกองกลางตัวคุมจังหวะเกม พร้อมกับวาง เซดริก บากัมบู และ การ์ลอส บักก้า คอยจบสกอร์

บียาร์เรอัล (4-4-2) : มาเรียโน่ บาร์โบซ่า ; มาริโอ กัสปาร์, อัลบาโร่ กอนซาเลซ, บิคตอร์ รุยซ์, ฆัวเม่ คอสต้า ; ซามู กัสติเญโฆ่, โรดรี, มานู ตริกูเอรอส ; ปาโบล ฟอร์นัลส์ ; เซดริก บากัมบู, การ์ลอส บักก้า

ปาโบล มาชิน กุนซือ กิโรน่า จะหมดสิทธิ์ใช้งานเปโดร อัลกาล่า กองหลังตัวหลักที่เจ็บยาวมาต่อเนื่อง เช่นเดียวกับอีกนึ่งแนวรับอย่าง มาร์ก มูนีซ่า ที่ต้องใช้เงาเรียกความฟิต ส่วนตัวทีเด็ดในเกมนี้พวกเขาเตรียมวาง กริสเตียน ปอร์ตู, คริสเตียน สตูอานี่ และ บอร์ฆา การ์เซีย เป็นสามประสานในแดนหน้า

กิโรน่า (3-4-3) : กอร์ก้า อิไรซอส ; ฆวนเป้, โจนาส รามัลโญ่, เบร์นาร์โด้ เอสปิโนซ่า ; ปาโบล มาฟเฟโอ, เปเร่ ปอนส์, อเล็กซ์ การ์เซีย, โยอัน โมยิก้า ; กริสเตียน ปอร์ตู, คริสเตียน สตูอานี่, บอร์ฆา การ์เซีย

กุนซือ กาอิซก้า การิตาโน่ จำเป็นต้องเช็คฟิต ฟาเบียน ชาร์ เซ็นเตอร์แบ็คทีมชาติสวิตเซอร์แลนด์ ที่เจ็บเล็กน้อยมาจากแคมป์พักเบรคคัดบอลโลก ส่วนทีเด็ดแนวรุกพวกเขาเตรียมวาง เฟเดริโก้ บัลเบร์เด้ ขึ้นเกมรุกทางฝั่งซ้ายโดยมี เฟเด การ์ตาเบีย และ เอ็มเร่ โคลัก ลงเป็นสามประสานเพื่อเปิดทางให้ ฟลอริน อันโดเน่ ลงเป็นทีเด็ดหน้าเป้าในยามที่ ลูคัส เปเรซ ยังมีปัญหาบาดเจ็บหมดสิทธิ์เป็นตัวเลือกในเกมนี้

ลา กอรุนญ่า (4-2-3-1) : คอสเทล พันติลิม่อน ; ฆวนฟราน, ซิดเน่, ฟาเบียน ชาร์, ลูซินโญ่ ; กีเยร์เม่ ซานโต๊ส, เซลโซ่ บอร์เกส ; เฟเด การ์ตาเบีย, เอ็มเร่ โคลัก, เฟเดริโก้ บัลเบร์เด้ ; ฟลอริน อันโดเน่

โฆเซ่ หลุยส์ เมนดิลิบาร์ นายใหญ่ เตรียมปรับตำแหน่งในเกมนี้ค่อนข้างแน่หลังของ โฆอัน ฆอร์แดน ในตำแหน่งมิดฟิลด์มีปัญหาเรื่องความฟิตทำให้ กอนซาโล่ เอสกาลันเต้ น่าจะเสียบแทนในตำแหน่งดังกล่าว เช่นเดียวกับแนวรับจะได้ อิบัน รามิส ผ่านความฟิตกลับมาคุมหลังบ้านร่วมกับเปาโล โอลิเวียร่า ส่วนในรายของ อีบัน อเลโฆ ยังเจ็บเอ็นหลังหัวเข่ารวมถึง เปโดร เลออน มิดฟิลด์จอมเก๋าและจอมทัพอย่าง ฟราน รีโก้ ที่ต่างไร้ชื่อในเกมนี้ด้วยปัญหาด้านสภาพร่างกายด้วยกันทั้งหมด

เออิบาร์ (4-4-2) : มาร์โก ดมิโตรวิช ; อันเดร์ กาป้า, เปาโล โอลิเวียร่า, อีบัน รามิส, โฆเซ่ อังเคล ; เบเบ้, ดานี่ การ์เซีย, กอนซาโล่ เอสกาลันเต้, ทาคาชิ อินูอิ ; เซร์จี้ เอ็นริช, กีเก้ การ์เซีย

ส่วนทางด้าน ดาวิด แว๊กเนอร์ กุนซือ ฮัดเดอร์สฟิลด์ ยังคงไร้เงา สตีฟ มูนี่ หัวหอกตัวเก่งแม้จะกลับมาซ้อมกับเพื่อนร่วมทีมได้แล้ว ส่วนแข้งเดี้ยงหน้าเก่าอย่าง ยอน สแตนโควิช (-), มิชาเอล เฮเฟล (1 นัด)และ คอลลิน กวาเนอร์ (4 นัด)ยังคงบาดเจ็บตามเดิม คาดว่าเกมนี้พวกเขาจะทดลองใช้ สกอตต์ มาโลเน่ ออกบู๊แทน คริส เลิฟ ในส่วนของส่วนแบ็คซ้าย ส่วนแข้งแกนหลักที่เหลือน่าจะคัมแบ็กมีชื่อตัวจริงทั้งสิ้น

ฮัดเดอร์สฟิลด์ ทาวน์ (4-2-3-1) : โยนาส ลอสเซิ่ล - โธมัส สมิธ, มาธิอัส ยอร์เกนเซ่น, คริสโตเฟอร์ ชินด์เลอร์, สกอตต์ มาโลเน่ - อารอน มัว, ดาเนี่ยล วิลเลี่ยมส์ - เอเลียส คาชุงก้า, โธมัส อินซ์, รายิฟ ฟาน ลา พาร์ร่า - โลร็องต์ เดอปัวเตร

พอล คลีเม้นท์ นายใหญ่ประจำทีมยังคงหมดสิทธิ์ใช้งาน ไคล์ บาร์ตลี่ย์ (2 นัด)แนวรับเพียงรายเดียวเท่านั้น ส่วนแกนหลักที่เหลือต่างฟิตสมบูรณ์พร้อมลงสนามนำโดย ทามาราเอบี้ อับราฮัม ที่จะถูกวางเป็นหัวฟอกตัวเป้าในระบบ 4-2-3-1 โดยมี ลูเซียโน่ นาร์ซิงห์, เลรอย เฟอร์ และ อ็องเดร อายิว คอยสนับสนุนจากด้านหลัง

สวอนซี ซิตี้ (4-2-3-1) : ลูคัส ฟาเบียนสกี้ - ไคล์ นอฟตัน, เฟเดริโก้ เฟร์นานเดซ, แอลฟี่ มอว์สัน, มาร์ติน โอลส์สัน - เลออน บริตตัน, แซม คลูคัส - ลูเซียโน่ นาร์ซิงห์, เลรอย เฟอร์, อ็องเดร อายิว - ทามาราเอบี้ อับราฮัม

ส่วนทีมเยือน บอร์นมัธ ของกุนซือ เอ็ดดี้ ฮาว มีข่าวดีก่อนลงสนามไม่แพ้กันเมื่อ แฮร์รี่ อาร์เตอร์ จอมทัพคนสำคัญหายเจ็บกลับมาพร้อมรบแล้ว แต่ก็โชคไม่ดีที่จะไม่มี แบร็ด สมิธ ที่เจ็บมาจากเกมทีมชาติเช่นเดียวกับพวก คัลลั่ม วิลสัน, ไทรอน มิงส์ และ อดัม เฟเดริซี่ ที่เดี้ยงอยู่ก่อนหน้านี้ ส่วนแทคติกก่อนลงสนามกุนซือหนุ่ม เอ็ดดี้ ฮาว จะมาในระบบ 4-4-1-1 และทำการพัก ลูอิส คุ๊ค เพื่อเปิดทางให้กับ แฮร์รี่ อาร์เตอร์ คัมแบ็คคืนตัวจริงอีกครั้ง

บอร์นมัธ (4-4-1-1) : อัสเมียร์ เบโกวิช - อดัม สมิธ, ไซม่อน ฟรานซิส, นาธาน อาเก้, ชาร์ลี แดเนี่ยลส์ - มาร์ก พิวจ์, แฮร์รี่ อาร์เตอร์, แอนดรูว์ เซอร์มัน, จูเนียร์ สตานิสลาส - โจชัว คิง - เจอร์เมน เดโฟ

เมาริซิโอ โปเช็ตติโน่ นายใหญ่ประจำทีมมีข่าวดีคือจะได้ แซร์ก ออริเย่ร์ ฟูลแบ็คพ้นโทษแบนกลับมาเป็นทางเลือกในยามที่ มูสซ่า เดมเบเล่, วิกเตอร์ วานยาม่า, อีริค ลาเมล่า และ แดนนี่ โรส ต่างมีปัญหาบาดเจ็บ ซึ่งมีความเป็นไปได้ไม่น้อยที่ โปเช็ตติโน่ ยังคงไว้ใจนักเตะจากชุดถล่ม ฮัดเดอร์สฟิลด์ 4-0 ลงบู๊เกือบครบเซ็ตพร้อมกับวางคีย์แมนอย่าง ริสเตียน อีริคเซ่น, เดเล่ อัลลี่ และ แฮร์รี่ เคน เป็นตัวทีเด็ดตามคาด

ท็อตแน่ม ฮ็อตสเปอร์ (3-4-2-1) : อูโก้ ยอริส - โทบี้ อัลเดอร์ไวเรลด์, ดาวินสัน ซานเชซ, แยน แฟร์ต็องเก้น - คีแรน ทริปเปียร์, อีริก ไดเออร์, แฮร์รี่ วิงค์ส, เบ็น เดวี่ส์ - คริสเตียน อีริคเซ่น, เดเล่ อัลลี่ - แฮร์รี่ เคน

ส่วนทีมเยือน "ช่างปั่นหม้อ" ของกุนซือ มาร์ค ฮิวจ์ส จะไร้เงาของ โจ อัลเลน ที่เดี้ยงเพิ่มเติมเข้ามาต่อจาก สตีเฟ่น ไอร์แลนด์ และ ไรอัน ชอว์ครอสส์ ทำให้เกมนี้จะมีการปรับหมากโดยการใช้ระบบ 4-5-1 พร้อมกับถอด ไซโด้ เบราฮิโน่ แล้วใช้ อีริก ชูโป-โมติง เป็นหน้าเป้าเพียงตัวเดียวเท่านั้น พร้อมกับวาง มาเม่ บิรัม ดิอุฟ กับ ดาร์เรน เฟล็ตเชอร์ เป็นจอมทัพโดยมี เฆเซ่ โรดริเกวซ กับ เซอร์ดาน ชากิรี่ เป็นทีเด็ดในเกมขึ้นเกมรุก

สโต๊ค ซิตี้ (4-5-1) : แจ็ค บัตแลนด์ - เกล็น จอห์นสัน, เคิร์ต ซูม่า, เควิน วิมเมอร์, เอริค ปีเตอร์ส - มาเม่ บิรัม ดิอุฟ, เซอร์ดาน ชากิรี่, เจฟฟ์ คาเมร่อน, ดาร์เรน เฟล็ตเชอร์, เฆเซ่ โรดริเกวซ - อีริก ชูโป-โมติง

เป๊ป กวาร์ดิโอล่า นายใหญ่ประจำทีมจะหมดสิทธิ์ใช้งานแน่ๆก็คือ เซร์กิโอ อกูเอโร่ ที่ยังบาดเจ็บไม่พร้อมลงสนาม ส่วนในรายของ เบนจามิน เมนดี้ กับ แว็งซ็องต์ ก็อมปานี ยังคงต้องรอการคัมแบ็กต่อไปเช่นเดิม ซึ่งในเกมนี้คาดว่าเจ้าถิ่นจะยกเซ็ตนักเตะจากเกมที่แล้วลงเป็นส่วนใหญ่นำโดย กาเบรียล เชซุส ที่เพิ่งระเบิดฟอร์มกับทีมชาติบราซิลลงเป็นตัวเป้าโดยมี เลรอย ซาเน่, ดาบิด ซิลบา, เควิน เดอ บรอยน์ และ ราฮีม สเตอร์ลิ่ง เรียงหน้าลงครบเซ็ต

แมนเชสเตอร์ ซิตี้ (4-1-4-1) : เอแดร์สัน โมราเอส - ไคล์ วอล์คเกอร์, จอห์น สโตนส์, นิโกลัส โอตาเมนดี้, ดานิโล่ - แฟร์นานดินโญ่ - เลรอย ซาเน่, ดาบิด ซิลบา, เควิน เดอ บรอยน์, ราฮีม สเตอร์ลิ่ง - กาเบรียล เชซุส

เอร์เนสโต้ บัลเบร์เด้ เทรนเนอร์ทัพ "เจ้าบุญทุ่ม" ต้องเช็คฟิต อันเดรียส อีเนียสต้า ที่เจ็บมาจากเกมทีมชาติทว่าพวกเขาก็ได้วาง เปาลินโญ่ ไว้คอยสแตนบายด์อยู่แล้ว ซึ่งแดนกลางยังเดาไม่ยากเพราะจะใช้ชุดเก่งอย่าง อีวาน ราคิติช และ เซร์คิโอ บุสเก็ตส์ เป็นตัวสนับสนุน ส่วนแดนหน้าจะหวังพึ่ง ลีโอเนล เมสซี่ ที่เพิ่งนำทัพ "ฟ้า-ขาว" ไปลุยบอลโลกลงประสานงานกับ หลุยส์ ซัวเรซ และ เดนิส ซัวเรซ ค่อนข้างแน่

บาร์เซโลน่า (4-3-3) : มาร์ค อันเดร แทร์ ชเตเก้น ; เนลสัน เซเมโด้, เคราร์ด ปีเก้, ซามูแอล อุมติตี้, ฆอร์ดี้ อัลบา ; อีวาน ราคิติช, เซร์คิโอ บุสเก็ตส์, อันเดียส อีเนียสต้า ; ลีโอเนล เมสซี่, หลุยส์ ซัวเรซ, เดนิส ซัวเรซ

ดีเอโก้ ซิเมโอเน่ นายใหญ่ประจำทีมจะได้ เฟลิเป้ ลุยส์ กับ ลูกัส เอร์นานเดซ สลัดอาการบาดเจ็บกลับมาช่วยศึกใหญ่ได้ทันเวลา แม้เกมนี้จะไม่มีฟูลแบ็คขวาอย่าง ซีม เวอร์ซัลจ์โก้ ที่เดี้ยงจากเกมทีมชาติก็ตาม อย่างไรก็ดีเกมนี้แดนกลางจะมีกลับมาหมากเล็กน้อยโดยการพัก ยานนิค การ์ราสโก้ และขยับ ซาอูล ไปยืนริมเส้นโดยให้ โธมัส ปาร์ตีย์ คุมเกมตรงกลางร่วมกับ กาบี ส่วนทีเด็ดในแดนหน้าจะใช้ อองตวน กรีซมันน์ จับคู่ อังเคล คอร์เรอา ตามคาด

แอตฯมาดริด (4-4-2) : ยาน โอบลัค ; โชเซ่ คิมิเนซ, ดีเอโก้ โกดิน, สเตฟาน ซาวิช, ฟิลิเป้ ลุยส์ ; โกเก้, โธมัส ปาร์ตีย์, กาบี, ซาอูล ญิเกซ ; อองตวน กรีซมันน์, อังเคล คอร์เรอา

ยูเซบิโอ ซาคริสตัน กุนซือ เรอัล โซเซียดัด จะไร้เงา ดาบิด ซูรูตูซ่า (6 นัด) กับ อิมานอล อากีร์เร็ทเช่ (3 นัด)ที่ยังบาดเจ็บ ส่วนตำแหน่งคู่เซ็นเตอร์แบ็คจะได้เห็น อินญิโก้ มาร์ติเนซ ประสานงานกับ ราอูล นาบาส บ้างในเกมนี้พร้อมกับวางขุมกำลังแดนกลางชุดเดิมโดยมี ฆวนมี่, วิลเลี่ยน โชเซ่ และ มิเกล โอยาร์ซาบัล เป็นทีเด็ดแดนหน้า

เรอัล โซเซียดัด (4-3-3) : เกโรนิโม่ รูยี่ ; อัลบาโร่ โอดริโอโซล่า, อินญิโก้ มาร์ติเนซ, ราอูล นาบาส, เควิน โรดริเกซ ; ชาบี ปรีเอโต้, อาเซียร์ อิยาร์ราเมนดี้, รูเบน ปาร์โด ; ฆวนมี่, วิลเลี่ยน โชเซ่, มิเกล โอยาร์ซาบัล

โจวานนี่ เดอ เบียซี่ กุนซือชาวอิตาลีที่เพิ่งเข้ามาคุมบังเหียนพร้อมกับ 3 แต้มในเกมที่แล้วมีปัญหาตัวเจ็บเพียงแค่ บิคตอร์ ลากูอาร์เดีย (-)กับ เอคตอร์ เอร์นานเดซ (1 นัด)สองแนวรับ ส่วนกำลังแนวรุกอย่าง อิไบ โกเมซ, อัลบาโร่ เมดราน, อัลฟองโซ่ เปดราซ่า เตรียมลงประจำการโดยมี มูนีร์ เอล ฮัดดาดี้ กองหน้าตัวเป้า ส่นในรายของ โบยาน จะมีชื่อเป็นตัวสอดแทรกไปก่อน

อลาเบส (4-2-3-1) : เฟร์นานโด ปาเชโก้ ; อเล็กซิส รูอาโน่, โรดริโก้ อีลี่, กีเยร์โม่ มาริปาน, รูเบน ดูอาร์เต้ ; มานู การ์เซีย, ดาเนี่ยล ตอร์เรส ; อิไบ โกเมซ, อัลบาโร่ เมดราน, อัลฟองโซ่ เปดราซ่า ; มูนีร์ เอล ฮัดดาดี้

ซีเนดีน ซีดาน นายใหญ่ "ราชันชุดขาว" ยังคงไร้ชื่อ แกเร็ธ เบล กองหน้าทีมชาติเวลส์ ที่ยังเจ็บ รวมถึงผู้รักษาประตูมือหนึ่งอย่าง เกย์เลอร์ นาบาส ทำให้ กาซีย่า จะถูกส่งลงเฝ้าเสาแทน โดยแนวรุกจะได้ คาริม เบนเซม่า ลงจับคู่กับ คริสเตียโน่ โรนัลโด้ ส่วน มาเตโอ โควาซิช ยังคงไม่มีส่วนร่วมในเกมแดนกลางและจะเป็น ดานี่ กาเบยอส, คาเซมิโร่ และ อีสโก้ ลงทำหน้าที่

เรอัล มาดริด (4-3-1-2) : กีโก้ กาซีย่า ; นาโช่, ราฟาแอล วาราน, เซร์คิโอ รามอส, มาร์เชโล่ ; ดานี่ กาเบยอส, คาเซมิโร่, อีสโก้ ; มาร์โก้ อาเซนซิโอ้ ; คาริม เบนเซม่า, คริสเตียโน่ โรนัลโด้

โฆเซ่ บอร์ดาลาส กุนซือ เกตาเฟ่ เตรียมกลับมาใช้งาน ฟายกัล ฟายร์ แนวรุกชาวโมร็อคโกได้อีกครั้งหลังไม่มีชื่อลงสนามพบต้นสังกัดจริงเมื่อเกมที่แล้ว ซึ่งเกมนี้พวกเขาเตรียมขนแข้งตัวหลักอย่าง ฆอร์เก้ โมลิน่า ลงจบสกอร์ ร่วมกับ อัลบาโร่ คิมิเนซ, ฟายกัล ฟายร์ และ อามาธ เอ็นเดียเย่ ในยามที่ กาคุ ชิบาซากิ มิดฟิลด์ทีมชาติญี่ปุ่นกำลังบาดเจ็บ

เกตาเฟ่ (4-2-3-1) : บิเซนเต้ กูยาต้า ; ดาเมี่ยน ซัวเรซ, เฌเน่ ดาโกนัม, ฆวน กาล่า, บิตอเรียโน่ อันตูเนส ; มาร์เกล เบร์การ่า, เมาโร อารัมบาร์รี่ ; อัลบาโร่ คิมิเนซ, ฟายกัล ฟายร์, อามาธ เอ็นเดียเย่ ; ฆอร์เก้ โมลิน่า

ทีมเยือน เซบีญ่า ของกุนซือ เอดูอาร์โด้ เบริซโซ่ จะหมดสิทธิ์ใช้งาน 2 แนวรับ ดาเนี่ยล การ์ริโก้ และ นิโก้ ปาเรฆ่า ที่ยังไม่พร้อมคืนสนามและจะได้เห็นคู่ของ ไซม่อน เคียร์ ปักหลักกับ แกลร์กมงต์ ล็องเล่ต์ ต่อไปตามคาด ซึ่งเกมนี้พวกเขาได้ขนแดนกลางอย่าง เอแวร์ บาเนก้า สเตเว่น เอ็นซองซี่่ และ กานโซ่ ลงปั้นเกมร่วมกัน โดยมี เฆซุส นาบาส, วิสซัม เบน เยดเดอร์ และ โนลิโต้ เป็นตัวทีเด็ดแดนหน้า

เซบีญ่า (4-3-3) : เซร์กิโอ ริโก้ ; กาเบรียล เมร์กาโด้, ไซม่อน เคียร์, แกลร์กมงต์ ล็องเล่ต์, เซร์กิโอ เอสกูเดโร่ ; เอแวร์ บาเนก้า, สเตเว่น เอ็นซองซี่่, กานโซ่ : เฆซุส นาบาส, วิสซัม เบน เยดเดอร์, โนลิโต้

เจ้าบ้าน แอธฯบิลเบา อยู่ในช่วงฟอร์มย่ำแย่หลังไม่ชนะใคร 6 นัดติดต่อกันก่อนช่วงพักเบรคทีมชาติ ซึ่งเกมนี้พวกเขาจะไร้เงา อิเกร์ มูเนียอิน กองกลางขาประจำที่ยังสลัดเดี้ยงไม่หลุด ทำให้ตัวเลือกในตำแหน่งดังกล่าวอย่าง อินญิโก้ กอร์โดบา จะได้ลงมาเล่นแทน พร้อมกับวาง ราอูล การ์เซีย คอยสนับสนุนหน้าเป้าตัวเก๋าอย่าง อาริตซ์ อาดูริซ ต่อไป

แอธฯบิลเบา (4-2-3-1) : เกป้า ; อินญิโก้ เลกูเอ้, อายเมริค ลาปอร์เต้, อูไน นูนเญซ, มิเกล บาเลนเซียก้า ; มิเกล ซาน โฆเซ่, มิเกล เบสก้า ; อินญากี้ วิลเลี่ยมส์, ราอูล การ์เซีย, อินญิโก้ กอร์โดบา ; อาริตซ์ อาดูริซ

ส่วนทีมเยือน ซานโต๊ส ของกุนซือ เลเวีย คูลปิ เริ่มกลับมาทำผลงานได้ดีต่อเนื่องหลังเก็บชัยมา 2 เกมรวดซึ่งเกมนี้พวกเขาจะหมดสิทธิ์ใช้งานแกนหลักที่ยังบาดเจ็บอย่าง วิคตอร์ เฟร์ราซ(15นัด/2ประตู)แนวรับ และ เรนาโต้(14นัด)กองกลาง ส่วนดาวเด่นประจำทีมที่เหลืออย่าง โจนาธาน โคเปอเต้ (20 นัด/5 ประตู), บรูโน่ เฮนริเก้ (20 นัด/6 ประตู) และ เคย์เก้ (21 นัด/3 ประตู)ยังพร้อมลงประจำแดนหน้าในระบบ 4-2-3-1 ได้ตามคาด

เอดูอาร์โด้ บัปติสต้า นายใหญ่ประจำทีม นอกจากจะพาทีมพ่าย ครูไซโร่ 1-2 ไม่พอยังโชคร้ายมาเสีย เอลตัน (20 นัด/1 ประตู) มิดฟิลด์ตัวเก่งที่ถูกไล่ออกในนัดดังกล่าวพลาดลงสนามในเกมนี้ แถมสองตัวเจ็บแดนกลางอย่าง เวนเดล(15นัด) และเรนาโต้ กาฆ่า(14นัด/1ประตู)ต่างมีปัญหาบาดเจ็บรบกวน ทำให้ ลุคก้า (26 นัด/10 ประตู) จะกลายเป็นตัวความหวังในการจบสกอร์ในระบบ 4-1-4-1 โดยมี เอเมอร์สัน ชีค (19 นัด/4 ประตู)เป็นทีเด็ดขึ้นเกมฝั่งขวา

ส่วนลูกทีมของ เปาโล เซซ่า การ์เปจิอานี่ มีบางจุดให้ต้องปรับตำแหน่งเช่นกันหลัง ธิอาโก้(24นัด)แนวรับตัวหลักดันถูกคาดโทษในเกมนี้ บวกกับ 2 ตัวเจ็บอย่าง ปาโบล อาเมโร่(5นัด)แบ็กซ้ายตัวสำรอง และ เรเน่ จูเนี่ยร์(19นัด/4ประตู)ตัวรุกยังคงไม่พร้อมลงสนามตามคาด อย่างไรก็ดีพวกเขาอาจมีลุ้นได้ตัว โรดริเกา(12นัด/5ประตู) หัวหอกตัวเก่งผ่านความฟิตกลับมาลงสนามในตำแหน่งศูนย์หน้าตัวเป้า

คูก้า นายใหญ่ประจำทีมมีปัญหาในการจัดทัพพอสมควรหลังหมดสิทธิ์ใช้งาน ฮวน (14นัด)เซ็นเตอร์และ ไมกี้(18นัด/1ประตู)แบ็กขวา สองแนวรับตัวหลักที่ติดโทษแบนในเกมนี้ ส่วนทีเด็ดแนวรุกย่าง วิลเลี่ยน(19นัด/5ประตู), ดูดู้(14นัด/3ประตู) และ ดายเวอร์สัน(11นัด/3ประตู)จะลงเป็นสามประสานแดนหน้าได้ตามคาด

ส่วนทีมเยือน สปอร์ต เรซิเฟ่ ของกุนซือ ฟานเดอร์เล ลัคเซมบูร์โก้ ผลงานเข้าขั้นน่าผิดหวังหลังยังชนะใครไม่เป็นมา 4 เกมติด ส่วนความพร้อมในเกมนี้พวกเขามีข่าวดีคือจะได้ ดีเอโก้ ซูซ่า (17 นัด/6 ประตู) กับ แพทริค (20 นัด/2 ประตู)สองแดนกลางพ้นโทษแบนกลับมาประสานงานกับ อังเดร(24นัด/10) และ ออสวัลโด้(20นัด/3ประตู) สองทีเด็ดแดนหน้า

ว๊ากเนอร์ มันชินี่ เฮดดค้ช วิตอเรีย กำลังนำทีมไปได้สวยหลังหลุดพ่ายเพียงเกมเดียวเท่านั้นตลอด 5 เกมหลัง(ชนะ3เสมอ1) ซึ่งเกมนี้มีข่าวร้ายคือจะพลาดใช้งาน เฟอร์นานโด มิเกล นายทวารตัวเก๋าที่มีปัญหาบาดเจ็บทำให้ ไคเก้ นายทวารวัยเพียง 20 ปีลงเล่นแทน ส่วนแกนหลักที่เหลือยังคงวาง นีลตัน (20 นัด/6 ประตู), ซานติอาโก้ เตเลซ (12 นัด/5 ประตู), ดาวิด (24 นัด/3 ประตู) และ อังเดร ลิม่า (11 นัด/3 ประตู)ลงประจำแผงแนวรุกกันครบเซ็ต

ส่วนทีมเยือน ฟลูมิเนนเซ่ ของนายใหญ่ อาเบล บราก้า จำเป็นต้องปลดล็อคเก็บแต้มให้ได้โดยเร็วที่สุดหลังพร้อมย่ำแย่แพ้รวดมา 4 เกมติดเข้าไปแล้ว ซึ่งเกมนี้โชคไม่ดีนักที่จะไร้เงา ฟาซาน ฟูลแบ็ควัยรุ่นที่สะสมใบเหลืองครบโควต้า ทำให้ทางเลือกในเกมนี้ค่อนข้างมีจำกัดและภาระแบกทีมจึงตกไปอยู่กับ เอ็นริเก้ ดูร์ราโด้ ที่ถลุงไปแล้ว 14 เม็ดไปโดยปริยาย ทว่ายังดีที่ตัวสนับสนุนอย่าง เวนเดล (24 นัด/4 ประตู) และ เวลลิงตัน (14 นัด/2 ประตู)ยังคงฟิตสมบูรณ์พร้อมเป็นตัวซัพพอร์ทได้ไม่มีปัญหา

เรนัลโด รูดา รีเวร่า กุนซือชาวโคลอมเบียมีข่าวดีคือจะได้ ออร์แลนโด้ แบร์ริโอ้ (15 นัด/2 ประตู) ศูนย์หน้าตัวเก่งพ้นโทษแบนกลับมาช่วยทีมได้ทันเวลาซึ่งคู่หูในเกมนี้คงหนีไม่พ้นเปาโล เกอร์เรโร่ (16 นัด/6 ประตู)และ วินนิเซียส จูเนียร์ (18 นัด/2 ประตู)ที่จะถูกวางเป็นสามประสานในระบบ 4-3-3 พร้อมกับวาง ดีเอโก้ (19 นัด/5 ประตู) และ เอเวอร์ตัน (18 นัด/3 ประตู) คอยปั้นเกมรุกอยู่ด้านหลัง

ทีมเยือน อัลเมเรีย ของกุนซือ ลูอิส มิเกล รามิส มีปัญหากังวลใจก่อนเกมอยู่ไม่น้อยเมื่อกองกลางตัวเก่งอย่าง คอสต้า(6นัด/2ประตู)ยังไม่สามารถสลัดเดี้ยงกลับมาช่วยทีมได้เช่นเดียวกับหัวหอกชาวโมร็คโกอย่าง ฮิสแฮม(4นัด)ที่ยังเจ็บเช่นกันทำให้โฉมหน้าแนวรุกในเกมนี้จำเป็นต้องหวังพึ่ง ฮวน มูนญอส(8นัด/1ประตู)หัวหอกหมายเลขหนึ่งลงยืนเป็นหอกตัวเป้าโดยมี โฆเซ่ อังเคล โปโซ่(8นัด/2ประตู) และ ฟิเดล(8นัด/1ประตู)เป็นตัวสนับสนุนในระบบ 4-3-3 ต่อไป

มิเชล เฮดโค้ชใหญ่ ราโย บาเยกาโน่ เพิ่งจะนำทีมคัมแบ็กคว้าชัยได้อีกครั้งแถมเป็นการเก็บ 3 แต้มที่สุดสวยหรูเหนือ บายาโดลิด 4-1 ซึ่งเกมนี้พวกเขาถือว่าพร้อมสุดๆหลังจะขาดเพียงแค่ ฆาบี กูเอร์ร่า(3 นัด)หัวหอกที่ยังบาดเจ็บเพียงรายเดียวเท่านั้น ส่วนแกนหลักนัดนี้แทบจะยกเซ็ตตัวเก่งจากนัดที่แล้วลงบู๊โดยเฉพาะทีเด็ดแดนหน้าอย่าง อาดรี้ เอ็มบาร์บ้า(8นัด/3ประตู)ที่เหมาคนเดียว 2 เม็ดในเกมที่แล้วลงยืนกองหน้าร่วมกับ ออสก้า เทรโฮ(8นัด/5ประตู) และ ราอูล เด โทมัส(4นัด/2ประตู)ในระบบ 4-3-3

ส่วนทีมเยือน เฮาเกซุนด์ ของกุนซือ อีริค ฮอร์เนลแลนด์ ไม่มีปัญหาตัวเจ็บเพิ่มเติมเข้ามาจากเกมสุดสัปดาห์แถมยังจะมีลุ้นเช็คความฟิตในรายของ ธอร์ อาร์เน่ แอนเดอาร์เซ่น(17นัด/2ประตู)และ เฟรดเดริค(19นัด/4ประตู) สองจอมทัพคนสำคัญ ส่วนแข้งที่พร้อมลงเป็นตัวชี้วัดในการจบสกอร์ทีมเยือนเตรียมวาง ลิบาน อับดี้ อาลี(17นัด/5ประตู)ลงจับคู่กับ ชูอิบู อิบราฮิม(23นัด/5ประตู)ในระบบ 4-4-2

รอนนี่ ไดล่า เทรนเนอร์วัย 42 ปีของเจ้าถิ่นบุกมาเยือนเกมนี้ด้วยสภาพความพร้อมที่ไม่อำนวยนักหลังจะหมดสิทธิ์ใช้งาน แดเนี่ยล แบรนท์เซ่น(13นัด)มิดฟิลด์แกนหลักที่ติดโทษแบนในเกมนี้พ่วงด้วยตัวเจ็บล้นทีมไม่ว่าจะเป็น เอรอน ดอนนุม(6นัด),แดเนี่ยล เฟร็ดฮีม โฮม(11นัด)รวมถึง โมฮัมเหม็ด อับเดลลาอู(12นัด/2ประตู) ทำให้โฉมหน้าตัวรุกในเกมนี้คงหนีไม่พ้น เฮนริค โยแฮนเซ่น(15นัด),บร๊าด ฟินเน่(19นัด/4ประตู),ชิเดล่า อีฮูเก้(9นัด/1ประตู)ในระบบ 4-3-3

ทีมเยือนรองบ๊วยของลีกผลงานก็ตามสบายและครับเละเทะแพ้พ่ายซะส่วนใหญ่และยิ่งไปกว่านั้นก็คือ เกทเตอร์สัน และ เจา เปาโล ยังคงเจ็บค้างสต็อคอยู่แถมยังมีแข้งที่ต้องรอเช็คความฟิตอีกเพียบ จึงส่งผลให้เกมวันนี้บรรดาคีย์แมนอย่าง ริลโด้ (23 นัด/5 ประตู), เฮนริเก้ อัลเมด้า (22 นัด/5 ประตู) และ คีเบอร์ (11 นัด/4 ประตู) ต้องรับหน้าที่เป็นตัวความหวังของทีมไปโดยปริยาย

เจ้าบ้าน โครินเธี่ยนส์ ทีมจ่าฝูงประจำลีกอยู่ในช่วงฟอร์มตกหลังไม่ชนะใครมา 4 เกมรวด แถมเกมนี้ฟูลแบ็คตัวเก่งอย่าง ว้ากเนอร์ (22 นัด)และ อังเกล โรเมโร่ (21 นัด/2 ประตู) ศูนย์ประจำทีมต่างถูกคาดโทษจากการสะสมใบเหลืองพร้อมกันพอดีในเกมนี้ ทำให้ความหวังของพวกเขาจะตกไปอยู่ที่ โช (24 นัด/13 ประตู) อดีตหัวหอกทีมชาติบราซิลเป็นตัวชูโรงร่วมกับ จั๊ดสัน (20 นัด/4 ประตู) และ โรดริควินโญ่ (22 นัด/3 ประตู)ตามคาด