วิเคราะห์บอล / วิเคราะห์บอลวันนี้

ส่วนทีมเยือน แอตฯโกยาเนียนเซ่ ถึงแม้จะเป็นทีมบ๋วยแต่ก็มีพิษสงที่ประมาทไม่ได้หลังพ่ายเพียงแค่เกมเดียวตลอด 5 เกมหลังสุด(ชนะ3เสมอ1แพ้1) ส่วนความพร้อมในเกมนี้มีข่าวดีคือจะได้ กิลแวน (13 นัด/2 ประตู) แนวรับกัปตันทีมพ้นโทษแบนกลับมาผนึกกำลังแกนหลักอย่าง หลุยส์ เฟอร์นานเดซ (22 นัด/5 ประตู) และ วอลเตอร์ (19 นัด/3 ประตู)ที่ยังคงรับบทตัวความหวังในการจบสกอร์ในฐานะคู่กองหน้า

เจ้าบ้าน แอตฯพาราเนนเซ่ ฟอร์มกำลังย่ำแย่หลังเปิดรังพ่าย แอตฯ มิไนโร่ 0-2 ซึ่งเป็นการพ่ายแพ้เป็นเกมที่สองติดต่อกัน ส่วนความพร้อมก่อนเกมพวกเขามีข่าวดีคือจะได้ เปาโล อังเดร (16 นัด) กองหลังและ นิเกา (25 นัด/2 ประตู) มิดฟิลด์ตัวเก่งสลัดเดี้ยงกลับมาลงสนาม ส่วนแข้งแกนหลักขาประจำอย่าง กิลเยเม่ร์ (12 นัด/3 ประตู), เอดูอาร์โด้ เฮ็นริเก้ (11 นัด/2 ประตู) และ ฟิลิเป้ เกดอซ (8 นัด/2 ประตู)ต่างมีชื่อในเกมนี้ครบเซ็ต

ทีมเยือน เซาเปาโล อยู่ในช่วงยกระดับความมั่นใจเช่นกันหลัง ชนะ สปอร์ต คลับ เรซิเฟ่ 1-0 อย่างไรก็ดีความพร้อมก่อนเกมดูจะมีปัญหาไม่น้อยหลังจะหมดสิทธิ์ใช้งาน โรดริโก้ คาริโอ(21นัด),อาร์โบเลด้า(14นัด/2ประตู)สองแนวรับตัวหลัก และแข้งแดนกลางอย่าง คูเอว่า(20นัด/2ประตู)ที่ติดภาระกิจรับใช้ชาติ เช่นเดียวเรนาน ริไบร์โร่(20นัด)นายทวารมือหนึ่งที่ติดรับใช้ชาติชุดเล็ก

เจ้าบ้าน แอตฯมิไนโร่ อยู่ในฟอร์มกำลังมั่นใจแถมเกมล่าสุดในลีกยังสามารถบุกไปชนะ แอตเลติโก้ พาราเนนเซ่ 2-0 ส่วนความพร้อมในเกมนี้จะไร้เงา เอลเรียส(21นัด/3ประตู)แดนกลางที่ติดโทษแบน ทว่ายังพอมีลุ้นได้ตัว ออเตโร่(17นัด/2ประตู)หายเจ็บกลับมาทันเวลาช่วยแดนกลางในเกมนี้ ส่วนตัวเจ็บที่ถือเป็นขาประจำจะขาดเพียง ฮวน(12นัด)แข้งแดนหน้าที่ยังบาดเจ็บอีกราย

ส่วนทีมเยือน ครูไซโร่ อยู่ในช่วงมั่นใจไม่แพ้กันหลังชนะ ปอนเต เปรตา 2-1 ในบ้านตัวเอง ส่วนความพร้อมในเกมนี้พวกเขาจะหมดสิทธิ์ใช้งาน ซาสซ่า(15นัด/6ประตู)และ ราเนียล(10นัด/2ประตู) หัวหอกตัวเก่งที่มีปัญหาอาการบาดเจ็บเช่นเดียวกับแนวรับตัวหลักอย่าง ลีโอ(23นัด/1ประตู),มูริโล่(17นัด) รวมถึง สองแผงแดนกลาง กาเบรียล(13)และโรบินโญ่(11นัด/2ประตู)

เจ้าบ้าน เกรมิโอ้ ทีมอันดับ 3 ของตารางกลับมาตั้งหลักได้อีกครั้งหลังเปิดรังชนะ ฟลูมิเนนเซ 1-0 ในเกมล่าสุด ซึ่งเกมนี้พวกเขามีข่าวดีคืออาจได้ อาเธอร์(21นัด/1ประตู)จอมทัพตัวหลักผ่านความฟิตช่วยทีมได้ทันเวลา แต่แกนหลักสำคัญในการปั้นเกมอย่าง รามิโร่(20นัด/4ประตู),ไมค่อน(11นัด) รวมถึงหัวหอกตัวเก่งอย่าง ฮวน(15นัด/5ประตู)ที่ยังบาดเจ็บทั้งหมด

ทีมเยือน ชาเปโคเอนเซ่ เริ่มยกระดับฟอร์มขึ้นมาได้บ้างหลังไม่แพ้ใครมา 2 เกมติด(ชนะ1เสมอ1)โดยเกมล่าสุดเพิ่งบุกไปเสมอ วาสโก ดา กามา 1-1 ส่วนความพร้อมในเกมนี้พวกเขามีปัญหาไม่แพ้กันเมื่อหัวหอกตัวเก่งอย่าง อาเธอร์(24นัด/5ประตู)จะต้องลุ้นหนักว่าจะผ่านความฟิตลงสนามได้หรือไม่ แถมยังมีตัวเจ็บตัวหลักอย่าง วิคตอร์ รามอส(12นัด/2ประตู)แนวรับ และ ลุยส์ มานูเอล เซย์คัส (18นัด)กองกลางเวเนซูเอล่าต่างยังไม่สามารถคัมแบ็กกลับมาซ้อมได้ทั้งสิ้น

เจ้าบ้าน โบตาโฟโก้ ทีมอันดับ 6 ของตารางอยู่ในฟอร์มที่ไม่คงเส้นคงวานักหลังชนะสลับแพ้มาตลอดช่วง 5 เกมหลัง ซึ่งในเกมล่าสุดเพิ่งจะพ่าย วิตอเรีย 2-3 คารังมาหมาดๆ ส่วนความพร้อมก่อนเกมพวกเขายังคงต้องใช้นายทวารมือสามอย่าง โรเบร์โต้ เฟร์นานเดซ(9นัด) หลังทั้งมือหนึ่งและมือสองอย่าง กาติโต้(19นัด)และ เจฟเฟอร์สัน(6นัด)ยังไม่ฟิตสมบูรณ์ ปัญหาของเจ้าถิ่นยังไม่หมดแค่นั้นเมื่อหัวหอกตัวเก่งอย่าง โรเจอร์(20นัด/10ประตู)แถมหัวหอกตัวสำรองบางรายอย่าง วาเลนเซีย(7นัด)จะหมดโอกาสเป็นตัวเลือกลงสนามหลังถูกคาดโทษในเกมนี้

ส่วนทีมเยือน สปอร์ติ้ง กิฆ่อน อยู่ในฟอร์มกำลังมั่นใจหลังคัมแบ็กจากความพ่ายแพ้เปิดรังชนะ เซบีย่า B 3-0 ส่วนความพร้อมเกมนอกบ้านนัดนี้นายใหญ่ ปาโก้ เฮร์เรร่า เตรียมจัดชุดที่ดีที่สุดลงบู๊อีกครั้งโดยเฉพาะ สเตฟาน สเคโปวิช(7นัด/3ประตู)หัวหอกสัญชาติเซอร์เบียที่เหมา 2 เม็ดจากเกมล่าสุดลงยืนเป็นศูนย์หน้าโดยมี เซร์จิโอ้ อัลบาเรซ(8นัด/1ประตู) กับ คาร์ลอส คาร์โมน่า(8นัด/2ประตู)เป็นตัวสนับสนุนในระบบ 4-2-3-1

เจ้าบ้าน คูลทูรัล เลโอเนซ่า อยู่ในฟอร์มกำลังย่ำแย่หลังไม่ชนะใครมา 4 เกมรวด(เสมอ2แพ้2) ซึ่งความพร้อมในเกมนี้นายใหญ่ รูเบน เด ลา บาร์เรร่า ไม่มีรายงานตัวเจ็บตัวแบนเข้ามาจากเกมล่าสุดและยังคงเห็น โรดรี้(8นัด/2ประตู) ถูกวางเป็นศูนย์หน้าตัวเป้าในระบบ 4-2-3-1 โดยมี โจเซป เซเน่(8นัด/1ประตู) ถูกวางเพลย์เมกเกอร์ตามคาด

ส่วนทีมเยือน โคลอมเบีย ทำให้ตัวเองต้องมาอยู่ในสถานการณ์ยากลำบากอีกครั้งหลังดันเปิดบ้านพ่าย ปารากวัย ที่ตกรอบไปแล้ว ซึ่งเกมนี้กุนซือใหญ่ โฮเซ เปเกร์มัน เตรียมขนชุดเก่งลงบู๊ครบเซ็ตตามคาดไม่ว่าจะเป็น ราดาเมล ฟัลเกา ที่ถูกวางเป็นกองหน้าคู่กับ หลุยส์ มูเรียล โดยมีแข้งดังอย่าง ฮาเมส โรดริเกซ, ฮวน กวาดราโด้ รวมถึง คาร์ลอส ซานเชซ ลงประจำตำแหน่ง

โคลอมเบีย (4-4-2) : ดาวิด ออสปิน่า : ซานติอาโก้ อาริอัส, ดาวินสัน ซานเชซ, ฟาริด ดิอ๊าซ, แฟร้งค์ ฟาบรา - ฮวน กวาดราโด้, คาร์ลอส ซานเชซ, เอ็ดวิน การ์โดน่า, ฮาเมส โรดริเกซ - หลุยส์ มูเรียล, ราดาเมล ฟัลเกา

ริคาร์โด้ กาเรก้า เฮดโค้ชของ เปรู ยังมีภาระกิจให้ต้องสู้กันอีกสักตั้งหลังบุกไปเสมอ อาร์เจนติน่า 0-0 ทำให้เกมนี้พวกเขายังมีลุ้นผ่านเข้ารอบหรือพื้นที่เพลย์ออฟแน่หากซิวชัยได้ในเกมนี้ ส่วนความพร้อมก่อนเกมไม่มีรายงานตัวเจ็บตัวแบนจากเกมล่าสุดและยังเห็นแข้งแกนหลักลงยึดตำแหน่งตามเดิมนำโดย อันเดร การ์ริโย่, เรนาโต้ ทาเปีย และ เอดิสัน ฟลอเรส ลงคุมแดนกลางพร้อมกับวาง เปาโล เกร์เรโร่ คอยล่าตาข่าย

เปรู (4-2-3-1) : เปโดร คาเยเซ่ : อัลโด กอร์โซ่, หลุยส์ อับราม, อัลเบร์โต้ โรดริเกซ, มิเกล เทราโก้ - อันเดร การ์ริโย่,เรนาโต้ ทาเปีย - คริสเตียน กูเอบา, โยชิมาร์ โยทุน, เอดิสัน ฟลอเรส - เปาโล เกร์เรโร่

ส่วนทีมเยือนอย่าง โบลิเวีย ทีมรองบ๋วยของตารางไม่มีอะไรให้ลุ้นแม้จะทำผลงานได้ดีจากการเจ๊า บราซิล 0-0 ในเกมล่าสุด ส่วนความพร้อมในเกมนี้พวกเขาไม่มีรายงานตัวเจ็บตัวแบนเข้ามาและยังคงเห็นนายใหญ่ เมาริซิโอ โซเรีย จัดชุดเดิมจากเกมที่แล้วพร้อมกับวาง ฮวน เอรดูอาร์โด้ ฟิเอร์โร่ กับ มาร์เซโล่ โมเรโน่ ลงล่าตาข่ายลงในระบบ 5-3-2 ตามคาด

โบลิเวีย (5-3-2) : การ์ลอส ลัมเป - ดิเอโก้ เบฮาราโน่, ลุยส์ อัลเบร์โต กูเตียร์เรซ, ฆวน บัลเบร์เด้, โรนัลด์ รัลเดส, อเลฮานโดร โมราเลส - ลิโอเนล จัสตินเนียโน่, คริสเซียน มาชาโด, ฆวน การ์ลอส อาร์เซ่ - ฮวน เอรดูอาร์โด้ ฟิเอร์โร่, มาร์เซโล่ โมเรโน่

ออสการ์ ตาบาเรซ นายใหญ่ประจำทีมยังคงจัดชุดที่ดีที่สุดลงบู๊ตามคาด เพื่อหวังปิดฉากไปเล่นฟุตบอลโลกแบบสวยๆ หลังรั้งอันดับ 2 ของตารางในเวลานี้ ส่วนความพร้อมก่อนเกมพวกเขาไม่มีรายงานตัวเจ็บหรือโทษแบนเข้ามาและพร้อมวางคู่หัวหอกแดนหน้าอย่าง เอดินสัน คาวานี่ กับ หลุยส์ ซัวเรซ ประสานงานร่วมกันโดยมี นาอีตัน นานเดซ, โรดริโก้ เบนตันกูร์, มาติอัส เวชิโน่ และ คริสเตียน โรดริเกซ เป็นตัวสนับสนุน

อุรุกวัย (4-4-2) : แฟร์นันโด มุสเลร่า - มักซี่ เปไรร่า, ดีเอโก้ โกดิน, โฮเซ่ กิเมเนซ, มาร์ติน กาเซเรส - นาอีตัน นานเดซ, โรดริโก้ เบนตันกูร์, มาติอัส เวชิโน่, คริสเตียน โรดริเกซ - เอดินสัน คาวานี่, หลุยส์ ซัวเรซ

ส่วนทีมเยือน อาร์เจนติน่า ทำได้เพียงเสมอ เปรู 0-0 ทำให้เกมนี้ต้องมาลุ้นเหนื่อยกันต่อเพื่อโอกาสไปเล่นฟุตบอลโลกรอบสุดท้าย ซึ่งโจทย์หินของพวกเขาคือการเก็บ 3 แต้มให้ได้เท่านั้น ส่วนความพร้อมในเกมนี้ไม่มีแข้งบาดเจ็บหรือติดโทษแบนให้ต้องกังวลและยังคงวางแนวรุกชื่อดังอย่าง อังเคล ดิ มาเรีย, ลีโอเนล เมสซี และ เปาโล ดิบาร่า ลงสนามพร้อมกับใช้ เมาโร อิคาร์ดี้ เป็นศูนย์หน้าตัวเป้า

อาร์เจนติน่า (4-4-3-1) : เซร์กิโอ โรเมโร่ - กาเบรียล เมอร์กาโด้, นิโกลัส โอตาเมนดี้, ฮาเวียร์ มาสเคราโน่, มาร์กอส อคูน่า - เอแวร์ บาเนก้า, ลูคัส บิเกลีย - อังเคล ดิ มาเรีย, ลีโอเนล เมสซี และ เปาโล ดิบาร่า - เมาโร อิคาร์ดี้

กุสตาโว ควินเตรอส เพิ่งนำทีมหมดลุ้นเข้ารอบบอลโลกรอบสุดท้ายไปแล้วหลังพ่าย ชิลี 1-2 ในเกมที่ผ่านมา ซึ่งเกมนี้พวกเขาจะหมดสิทธิ์ ไมเคิ่ล อาร์โรโย ที่ติดโทษแบนจากเกมล่าสุด ส่วนแกนหลักที่เหลือต่างพร้อมลงประจำตำแหน่งนำโดย โรแบร์โต้ เออร์โดเนซ ที่จะถูกวางเป็นศูนย์หน้าตัวเป้าโดยมี อันโตนิโอ วาเลนเซีย, เรนาโต้ อิบาร์ร่า และ เอ็นเนอร์ วาเลนเซีย เป็นตัวสนับสนุน

เอกวาดอร์ (4-4-1-1) : แม็กซิโม่ บันกูร์เอร่า - อันโตนิโอ วาเลนเซีย, ดาริโอ้ ไอมาร์, โรเบิร์ต อเบล อาร์โบเลด้า, คริสเตียน รามิเรซ - เรนาโต้ อิบาร์ร่า, เจฟเฟอร์สัน อินเตรียโก, เจฟเฟอร์สัน โอเรยูเอล่า, ไอร์ตัน เปรเซียโด้ - เอ็นเนอร์ วาเลนเซีย - โรแบร์โต้ เออร์โดเนซ

ราฟาเอล ดูดาเมล กุนซือประจำทีมอาจทำการปรับทัพให้แข้งสำรองงได้โชว์ฝีเท้าบ้างบางตำแหน่ง หลังแข้งบางรายมีอาการล้ามาจากเกมเสมอ อุรุกวัย ซึ่งเกมนี้พวกเขายังคงวาง วาริเกอร์ ฟารินเญซ นายทวารวัย 19 ปีที่กลายเป็นหนึ่งในแข้งน่าจับตามองในระดับชาติของพวกเขาไปแล้วหลังโชว์ฝีไม้ลายมือมาจากศึกฟุตบอลโลก ยู20 ส่วนคู่กองหน้าพวกเขาเตรียมวางตัวหลักอย่าง ซาโลมอน รอนดอน ลงจับคู่กับ จอเซฟ มาร์ติเนซ ในระบบ 4-4-2 โดยมี จอห์น มูริลโล่ และ จูเนียร์ โมเรโน่ ขึ้นเกมทางริมเส้น

เวเนซุเอล่า (4-4-2) : วาริเกอร์ ฟารินเญซ - บิคตอร์ การ์เซีย, ฆอน ชานเซยอร์, มิเกล บิญานูเอบ้า, รูเบิร์ต กิฮาด้า - จูเนียร์ โมเรโน่,โตมัส รินกอน, เซร์คีโอ คอร์โดวา, จอห์น มูริลโล่ - ซาโลมอน รอนดอน, จอเซฟ มาร์ติเนซ

ฟรันซิสโก อาร์เซ เฮดโค้ชประจำทีมจำเป็นต้องลุ้นเช็คความฟิตของ วิคเตอร์ กาเซเรส กองกลางที่บาดเจ็บในเกมที่แล้วจนต้องเปลี่ยนตัวออกมา แถมกองกลางเพื่อนร่วมทีมอย่าง มิเกล อัลมิร่อน ที่ยังบาดเจ็บอยู่ก็ยังไม่ชัวร์ว่าจะฟิตทันช่วยทีมได้เช่นกัน ส่วนความพร้อมในเกมนี้คีย์แมนสำคัญอย่าง ออสการ์ คาร์โดโซ่ หัวหอกตัวเก๋าอาจได้พักอยู่ข้างสนามพร้อมกับให้โอกาส เดร์ลิส กอนซาเลซ หัวหอกวัย 23 ปีได้โอกาสพิสูจน์ฝีเท้าร่วมกับ อันโตนิโอ ซานาเบรีย ดาวรุ่งจาก เรอัล เบติส ในระบบ 4-4-2

ปารากวัย (4-4-2) : อันโตนี่ ซิลบา - วัลเดซ, กุสตาโว่ โกเมซ, ฟาเบียน บัลบูเอนา, มิเกล ซามูดิโอ - ฆอร์เก้ โมเรร่า, ริชาร์ด ออร์ติซ,อิวาน ปิลิส, ออสการ์ โรเมโร่, - เดร์ลิส กอนซาเลซ,อันโตนิโอ ซานาเบรีย

ส่วนทีมเยือน ชิลี ของกุนซือ ฮวน อันโตนิโอ ปิซซี่ เทรนเรอร์ชาวสเปนยังคงมีโจทย์สำคัญในการเก็บ 3 แต้มเพื่อยึดพื้นที่การผ่านเข้ารอบ ซึ่งเกมนี้พวกเขาจะไร้เงา อาร์ตูโร่ วิดัล ที่ถูกคาดโทษในเกมนี้แถมยังต้องลุ้นเช็คฟิตในรายของ ชาร์ลส์ อรันกุยซ์ ว่าจะพร้อมสำหรับเกมนี้หรือไม่ ส่วนคีย์แมนในเกมนี้คงหนีไม่พ้น อเล็กซิส ซานเชซ ที่ต้องวัดกันในสนามกลับ เนย์มาร์ เพลย์เมกเกอร์ของเจ้าถิ่น ซึ่งเจ้าตัวจะถูกวางเป็นกองหน้าคู่กับ เอดูอาร์โด้ วาร์กัส ตามคาด

ชิลี (4-4-2) : เคลาดิโอ บราโว่ - เมาริซิโอ อิสล่า, แกรี่ เมเดล, กอนซาโล่ ยาร่า, ยูเจนิโอ เมน่า - เอริค ปุลการ์, ฟรานซิสโก้ ซิลวา, ปาโบล เอร์นานเดซ, จอร์เก้ วัลดิเวีย - เอดูอาร์โด้ วาร์กัส, อเล็กซิส ซานเชซ

ขุนพลทัพ "แซมบ้า" จ่าฝูงของตารางเตรียมเล่นโปรแกรมทิ้งทวนในศึกคัดบอลโลก หลังปิดจ็อบการันตีผ่านเข้ารอบไปตั้งนานแล้ว ซึ่งเกมนี้เฮดโค้ชใหญ่ ติเต้ จะหมดสิทธิ์ใช้งานแน่ๆก็คือ ธิอาโก้ ซิลวา ที่ได้รับบาดเจ็บจากเกม เสมอ โบลิเวีย แต่แข้งแกนหลักที่เหลือต่างพาเหรดกันลงสนามครบเซ็ตตามคาดไม่ว่าจะเป็น กาเบรียล เฆซุส ที่จะถูกวางเป็นหน้าเป้าโดยมี ฟิลิปเป้ คูตินโญ่ เรนาโต้ เอากุสโต, เปาลินโญ่ และ เนย์มาร์ เป็นตัวสนับสนุนแนวรุก

บราซิล (4-1-4-1) : เอลิสสัน - ดานี อัลเวส, มาควินญอส, เจา มิรันด้า, มาเซโล่ - คาเซมิโร่ - ฟิลิปเป้ คูตินโญ่ เรนาโต้ เอากุสโต, เปาลินโญ่, เนย์มาร์ - กาเบรียล เฆซุส

วลาดิเมียร์ ไวสส์ นายใหญ่ประจำทีมคงไม่ปรับผังนักเตะมากนักจากเกมพ่าย เวลส์ 0-1 ซึ่งสถานการณ์ในเกมนี้พวกเขาไม่มีอะไรให้กดดันหลังไม่มีลุ้นผ่านเข้ารอบไปตั้งนานแล้ว ซึ่งในเกมนี้จะได้เห็น จอร์จี้ ควิลิตาย่า ลงเป็นทีเด็ดในแดนหน้าตามคาด โดยมี ยาบา คานคาวา, นิก้า คเวคเวสกิรี่ และ วาเลเรียน กวิเลีย คอยคุมเกมแดนกลางร่วมกัน

จอร์เจีย (4-5-1) : จอร์จี้ ลอเรีย - โอตาร์ คาคาบัดเซ่, โซโลมอน คเวอร์คเวเลีย, กูราม คาช่า, จอร์จี้ นาวาลอฟสกี้ - จอร์จี้ เมเรบาชวิลี่, ยาบา คานคาวา, นิก้า คเวคเวสกิรี่, วาเลเรียน กวิเลีย, วาเลรี่ กาซาอิชวิลี่ - จอร์จี้ ควิลิตาย่า

สลาโวยุบ มุสลิน เฮดโค้ชทีมชาติ เซอร์เบีย เพิ่งนำทีมบุกไปพ่าย ออสเตรีย 2-3 ทำให้จ่าฝูงในกลุ่มนี้ยังคงไม่มีความแน่นอน ส่วนความพร้อมในเกมนี้ เซอร์เบีย ไม่มีรายงานตัวเจ็บเข้ามาจากเกมล่าสุดและเตรียมเห็นชุดตัวหลักอย่าง ดูซาน ทาดิช กับ มิยัต กาซิโนวิช ลงเป็นตัวปั้นเกมพร้อมกับวาง อเล็คซานดาร์ มิโตรวิช คอยจบสกอร์ พร้อมกับวาง ลูก้า มิลิโวเยวิช กับ เนมันย่า มาติช เป็นจอมทัพร่วมกันตามคาด

เซอร์เบีย (3-4-2-1) : วลาดิเมียร์ สตอยโกวิช - บรานิสลาฟ อิวาโนวิช, มาติย่า นาสตาซิช, สเตฟาน มิโตรวิช - อันโตนิโอ รูคาวิน่า, ลูก้า มิลิโวเยวิช, เนมันย่า มาติช, อเล็คซานเดอร์ โคลารอฟ - ดูซาน ทาดิช, มิยัต กาซิโนวิช - อเล็คซานดาร์ มิโตรวิช

ส่วนทีมเยือน "ยักษ์เขียว" ไอร์แลนด์ จำเป็นต้องบุกชนะเท่านั้นเพื่อลุ้นพื้นที่เพลย์ออฟ ซึ่งในเกมนี้นายใหญ่ มาร์ติน โอนีลล์ จะได้ตัว เจมส์ แม็กคลีน กับ ร็อบบี้ เบรดี้ สองคีย์แมนพ้นโทษกลับมาช่วยทีม ทำให้ เวส ฮูลาแฮน กับ คัลลั่ม โอดาวด้า ต้องหลุดสำรองไปโดยปริยาย ส่วนทีเด็แดนหน้าพวกเขาเตรียมวาง เชน ลอง เป็นตัวทีเด็ดร่วมกับ ดาริล เมอร์ฟี่ ตามคาด

ไอร์แลนด์ (4-4-2) : ดาร์เรน แรนดอล์ฟ - ไซรัส คริสตี้, เชน ดัฟฟี่, คีแรน คลาร์ค, สตีเฟ่น วอร์ด - เจมส์ แม็กคลีน, เดวิด เมย์เลอร์, เจฟฟ์ เฮนดริค, ร็อบบี้ เบรดี้ - เชน ลอง, ดาริล เมอร์ฟี่

นายใหญ่ คริส โคลแมน ยังมีงานใหญ่ให้ต้องทำเป็นเกมสุดท้าย ซึ่งเกมนี้พวกเขาต้องการอีกแต้มก็จะการันตีพื้นที่เพลย์ออฟคัดบอลโลก ส่วนความพร้อมก่อนเกมเจ้าบ้านหมดสิทธิ์ใช้งานแน่ๆก็คือสตาร์หมายเลขหนึ่งอย่าง แกเร็ธ เบล แต่ยังดีที่แกนหลักที่เหลือต่างพร้อมประจำตำแหน่งนำโดย อารอน แรมซี่ย์ ลงยืนเป็นหน้าต่ำพร้อมกับวาง แซม โว๊คส์ เป็นทีเด็ดในแดนหน้า

เวลส์ (4-4-1-1) : เวย์น เฮนเนสซี่ย์ - คริส กันเทอร์, เจมส์ เชสเตอร์, แอชลี่ย์ วิลเลี่ยมส์, เบ็น เดวี่ส์ - แอนดี้ คิง, โจ อัลเลน, โจ เล็ดลี่ย์, ทอม ลอว์เรนซ์ - อารอน แรมซี่ย์ - แซม โว๊คส์

ส่วนทีมเยือน ออสเตรีย ของกุนซือ มาร์เซโล่ โคลเลอร์ ไม่มีอะไรให้ลุ้นเช่นกันหลังจากตกรอบไปแล้ว ซึ่งเกมนี้พวกเขาจะไม่มี ดาวิด อลาบาแนวรับ บาเยิร์น และ มาร์ติน ฮาร์นิค กองกลาง ส่วนแดนหน้าอย่าง มาร์เซล ซาบิตเซอร์ ตัวรุกค่าย ไลป์ซิก ต่างถอนตัวตั้งแต่นัดที่แล้ว จึงไม่แปลกที่จะได้เห็นแข้งชุดผสมรวมถึงบรรดาตัวผู้เล่นหน้าใหม่อย่าง ดาเนี่ยล บัคมันน์ (วัตฟอร์ด) และ มักซิมิเลี่ยน โวเบอร์ (อาแจ็กซ์)ต่างรอโอกาสลงสนาม ทว่าทีเด็ดในแดนหน้ายามนี้ยังคงไว้ใจ กีโด้ บวร์กสตัลเลอร์ โดยมี มาร์โก อาร์เนาโตวิช จาก เวสต์แฮม เป็นคู่หู

ออสเตรีย (4-4-2) : ไฮนซ์ ลินด์เนอร์ - มอริตซ์ บอยเออร์, อเล็คซานดาร์ ดราโกวิช, เควิน ดันโซ, มักซิมิเลียน เวอเบอร์ - จูเลี่ยน บอย์มการ์ตลิงเกอร์, สเตฟาน อิลซังเกอร์ - ฟลอเรียน ไคนซ์, ฟลอเรียน กริลลิช -มาร์โก อาร์เนาโตวิช, กีโด้ บวร์กสตัลเลอร์

อิกอร์ โดโบรวอลสกี้ กุนซือ มอลโดว่า ทีมบ๊วยของกลุ่ม ดี ยังคงเป็นหมูให้รอเชือดหลังแพ้สกอร์ศูนย์เป็นนัดที่สามติดต่อกัน ซึ่งเกมนี้พวกเขาจะหมดสิทธิ์ใช้งาน อเล็กซานดรู กัตส์คาน ที่โดนใบแดงจากเกมพ่าย ไอร์แลนด์ ส่วนตัวความหวังในเกมนี้คงหนีไม่พ้น ราดู กินซารี่ ลงยืนเป็นศูนย์หน้าตัวเป้า โดยมี จอร์จี้ แอนตัน และ อาร์เทอร์ โยนิต้า คอยสนับสนุนจากแผงแดนกลางในระบบ 4-1-4-1

มอลโดวา (4-1-4-1) : อิลี่ เชบานู - วิทาลี่ บอร์เดียน, เปตรู ราคู, อเล็กซานดรู เอปูเรียนู, อาร์ติออม รอซโกนิอูค - จอร์จี้ แอนตัน, มิไฮ ปัลติก้า, ยูเจนู เซโบตารู, อาร์เทอร์ โยนิต้า, อเล็กซานดรู เดดอฟ - ราดู กินซารี่

ส่วนลูกทีมของ ลูบิซ่า ทุมบาโกวิช เทรนเนอร์ทีมชาติมอนเตเนโกร มีโอกาสลุ้นเพลย์ออฟค่อนข้างริบหรี่หลังเพิ่งเปิดรังพ่าย เดนมาร์ก 0-1 ในนัดที่ผ่านมา ซึ่งเกมนี้พวกเขาจะขาดเพียงแค่ ฟาตอส เบซิราย (49 นัด 9 ประตู) กองหน้าจากดินาโม มอสโกที่เจ็บจากเกมล่าสุด แต่ยังดีที่คีย์แมนอย่าง นิโกล่า วุคเซวิช (25 นัด 1 ประตู) และกัปตันทีม สเตวาน โยเวติช (49 นัด 24 ประตู) พร้อมลงบู๊ตามคาด

มอนเตเนโกร (4-2-3-1) : ดานิเยล เพตโกวิช ; อดัม มูราซิช, สเตฟาน ซาวิช, มาร์โก้ ซิมิช, ซาร์โก้ โทมาเซวิช ; นิโกล่า วุคเซวิค, มีร์โก อิวานิช ; มาร์โก ยานโกวิช, สเตวาน โยเวติช, มาร์โก เวโซวิช ; สเตฟาน มูโกซ่า

โอกาสที่จะตีตั๋วไปเล่นรอบสุดท้ายของ โปแลนด์ จัดว่าใสๆ หากพวกเขาเก็บได้เพียงแค่แต้มเดียวก็จะเข้ารอบไปโดยอัตโนมัติทันที ซึ่งเกมนี้พวกเขาเตรียมขนชุดเก่งลงบู๊ครบเซ็ตเพื่อปิดจ็อบไม่ว่าจะเป็น โรเบิร์ต เลวานดอฟสกี้ (90 นัด 50 ประตู) ที่ทำแฮตทริกเกมถล่ม อาร์มีเนีย 6-1 มาหมาดๆ เช่นเดียวกับ ยาคุบ บลาสซีคอฟสกี้ (94 นัด 19 ประตู) และ กามิล กลิค (54 นัด 4 ประตู) รองกัปตันทีมลงประจำตำแหน่งอีกครั้ง

โปแลนด์ (4-2-3-1) : วอจเซี๊ยจ เซสนี่ ; ลูคัส พิสเซ็ค, มาร์ซิน กามินสกี้, กามิล กลิค, มาเซี๊ยค รีบัส ; เกอร์เซกอร์ซ ครีโชเวี๊ยค, คาโรล ลิเนตตี้ ; ยาคุบ บลาสซีคอฟสกี้, พิโอเตอร์ ซีลินสกี้, กามิล โกรซิคกี้ ; โรเบิร์ต เลวานดอฟสกี้

คอสมิน คอนทร้า เฮดโค้ชป้ายแดงของ โรมาเนีย หมดลุ้นในเวทีไปเป็นที่เรียบร้อยแล้วแถมแกนหลักหลายรายยังไม่ถูกเรียกตัวในครั้งนี้ไม่ว่าจะเป็น บ็อกดาน สตานคู หัวหอกตัวเก่ง และ ยาสมิน ลาตอฟเลวิซี่ จาก กาลาตาซาราย ที่ยังมีปัญหาบาดเจ็บ ส่วนตัวทีเด็ดที่พอหวังพึ่งได้คงหนีไม่พ้น เคลาดิอู โคเซรู กองหน้าจากลูโดโกเร็ตส์ โดยมี อเล็กซานดรู ชิปซิอู กับ นิโคเล สตานคู คอยปั้นเกมรุก

โรมาเนีย (3-4-3) : ชิเปรียน ทาทารูซานู ; ดรากอส กริกอเร่, วล๊าด คิริเคส, คอสมิน โมตี้ ; โรมาริโอ้ เบนซาร์, รัซวาน มาริน, มิไฮ พินติลี่, จอร์จี้ โกรซาฟ ; อเล็กซานดรู ชิปซิอู, เคลาดิอู เคเซรู, นิโคเล สตานคู

อาเก้ ฮาไรด์ เฮ้ดโค้ชทีมชาติเดนมาร์ก ยังต้องการอีกหนึ่งคะแนนเพื่อการันตีคว้าพื้นที่พลย์ออฟให้ได้ อย่างไรก็ดีเกมชี้ชะตาในเกมนี้พวกเขาเตรียมขนแกนหลักนำทัพไม่ว่าจะเป็น คริสเตียน อีริคเซ่นเพลย์เมคเกอร์ตัวชูโรงจาก สเปอร์ส รวมถึง โธมัส เดอลานี่ย์ แดนกลางจากเบเมน ส่วนผู้เล่นตามคาดจะได้เห็น ยุสซุฟ โพลเซ่น ลงยืนเป็นหน้าเป้าโดยมี คริสเตียน อีริคเซ่น, โธมัส เดอลานี่ย์ และ พิโอเน่ ซิสโต้ คอยปั้นเกม

เดนมาร์ก (4-2-3-1) : แคสเปอร์ ชไมเคิ่ล ; เฮนริค ดัลส์การ์ด, ไซม่อน ชาร์, อันเดรียส เบลลันด์, ริซ่า ดูร์มิซี่ ; วิลเลี่ยม ควิสต์, ลาส โชน ; คริสเตียน อีริคเซ่น, โธมัส เดอลานี่ย์, พิโอเน่ ซิสโต้ ; ยุสซุฟ โพลเซ่น

ทาง ไอร์แลนด์เหนือ เล่นเกมนี้แบบไม่ต้องกดดันนักหลังโชว์ฟอร์มได้ดีจนปาดหน้า เช็กและ นอร์เวย์ คว้าตั๋วเพลย์ออฟเล่นฟุตบอลโลกเป็นที่เรียบร้อยแม้จะพ่ายให้แก่จ่าฝูง เยอรมัน 1-3 ในเกมที่ผ่านมาก็ตาม ในเกมนี้จะได้เห็นการปรับหมากอยู่บ้างบางตำแหน่งและจะได้เห็น สจ๊วร์ต ดัลลัส, คอเนอร์ วอชิงตัน และ จอร์จ ซาวิลล์ แข้งหน้าใหม่ได้ลงสนามบ้าง

ไอร์แลนด์เหนือ (4-4-2) : ไมเคิล แม็คโกเวิร์น - คอเนอร์ แม็คลอฟลิน, แกเรธ แม็คออลี่ย์, จอนนี่ อีแวนส์, คริส บรันท์ - สจ๊วร์ต ดัลลัส, โอลิเวอร์ นอร์วู้ด, สตีเวน เดวิส, เชน เฟอร์กูสัน - คอเนอร์ วอชิงตัน, ไคล์ ลาฟเฟอร์ตี้

ทางเจ้าบ้าน นอร์เวย์ มีปัญหาพอสมควรก่อนรับมือ ไอร์แลนด์เหนือ หลังกุนซือ ลาร์ส ลาเกอร์บัค จะหมดสิทธิ์ใช้งาน โจชัว คิง (31 นัด/10 ประตู)ศูนย์หน้าตัวเก่งดันมีอาการบาดเจ็บหัวเข่าจนต้องถอนตัวจากทีมชาติ ทำให้ต้องดึง บียอร์น จอห์นสัน หัวหอกจาก เดน ฮาก มาติดธงแทน ส่วนแข้งแกนหลักในเกมนี้พวกเขายังคงวาง อเล็กซานเดอร์ โซเดอร์ลุนด์ กับ ทาริค เอลยูนุสซี่ เป็นตัวจบสกอร์ค่อนข้างแน่

นอร์เวย์ (4-4-2) : รูเน่ ยาร์สไตน์ - มาร์ติน ลินเนส, กุสตัฟ วัลส์วัค, ฮาเวิร์ด นอร์ดไวต์, โยนาส สเวนส์สัน - โอมาร์ อีลับเดลลาอุย, โมฮาเหม็ด เอลยูนุสซี่, โอเล่ เซลเนส, สเตฟาน โยแฮนเซ่น - อเล็กซานเดอร์ โซเดอร์ลุนด์, ทาริค เอลยูนุสซี

ส่วนทีมเยือน ลูโก้ ของกุนซือ ฟรานซิสโก้ ท็อปฟอร์มไม่แพ้กันหลังเก้บชัยมา 2 เกมรวดรั้งอันดับ 7 ของตารางในเกมนี้ ส่วนความพร้อมไม่มีรายงานตัวเจ็บตัวแบนเข้ามา และยังยึดแกนหลักน่าเดิมลงบู๊โดยเฉพาะคีย์แมนอย่าง เอียริโอเม่(7นัด/3ประตู)ลงสนามเป็นตัวปั้นเกมให้ คริสเตียน(นัด)จบสกอร์

เทรนเนอร์ โชเซ่ หลุยส์ อัลตร้า กำลังคุมทีมไปได้สวยหลังบุกชนะ อัลกอร์กอน 2-1 เก็บชัยเป็นนัดที่สองติดต่อกัน ซึ่งในเกมนี้พวกเขาเตรียมกลับมาเล่นในบ้านจากฟอร์มที่ยังไม่แพ้ใครซีซั่นนี้และจะได้เห็นแกนหลักอย่าง โฆเซลอู(7นัด/2ประตู), ดาร์วิน มาเชียส(6นัด/2ประตู)และ เอเดรียน รามอส วาสคูเอซ(4นัด)ลงสนาม

ส่วนทีมเยือน นูมานเซีย ฟอร์มร้อนแรงกว่าเยอะหลังมีแต้มติดมือมาตลอด 4 นัดติด(ชนะ2เสมอ2)และกำลังรั้งตำแหน่งรองจ่าฝูงไว้อย่างเหนี่ยวแน่น ส่วนความพร้อมก่อนลงสนามกุนซือ อาราสเซเต้ ไม่มีตัวเจ็บตัวแบนในทีมเช่นกันและยังพร้อมส่ง เปเร่ มิลล่า(7นัด/4ประตู)กับ มานู เดล มอรัล(6นัด/1ประตู)ลงล่าตาข่าย

เจ้าบ้าน เรอัล ซาราโกซ่า ยังต้องยกระดับฟอร์มการเล่นให้ดีขึ้นกว่านี้หลังเจ๊ามา 2 เกมติดและเก็บชัยได้เพียงเกมเดียวตลอด 5 เกมหลังสุด ส่วนความพร้อมโดยรวมของลูกทีม เน็ตโซ กอนซาเลซ เทรนเนอร์พวกเขาไม่มีรายงานตัวเจ็บตัวแบนเข้ามาและยังพร้อมส่งตัวชูโรงอย่าง บอร์ฆ่า อิ๊คเลซิอัส(7นัด/3ประตู)และ โทเกวโร่(7นัด/1ประตู)ลงบู๊ในแดนหน้า

ส่วนทีมเยือนของกุนซือ ฮูลิโอ เวลาซเกวซ มีหลุดฟอร์มพ่ายต่อเนื่องไม่แพ้กันจาก 2 เกมหลังสุด ทว่ายังดีที่ช่วงออกสตาร์ทยังพอเก็บแต้มได้ต่อเนื่องทำให้อันดับตารางเวลานี้ยังหยุดอยู่ที่ 15 ขณะที่สภาพความพร้อมโดยรวมพวกเขาจะไร้เงาเพียงแค่ โนโน่ (4 นัด)กับ ฟูเยด กาเดอร์ (3 นัด)สองแดนกลางที่มีบทบาทอยู่บ้างในช่วงประเดิมซีซั่น

นายใหญ่ หลุยส์ การ์ริออน มีเรื่องให้ต้องปวดหัวพอสมควรเกี่ยวกับฟอร์มการเล่นของทีมหลังแพ้หนักต่อเนื่องมา 3 เกมรวดรวมทุกรายการ อย่างไรก็ดีพวกเขาดูจะมีปัญหาการจัดทัพไม่มากนักหลัง เอดู รามอส (7 นัด/1 ประตู) กองกลางเพียงรายเดียวที่มีปัญหาบาดเจ็บ แต่คีย์แมนที่พอเป็นตัวความหวังได้กลับเป็น เซร์กี้ กวาดริโอล่า(6นัด/3ประตู)หัวหอกที่ทำประตูมากที่สุดในทีมเวลานี้

ส่วนทีมเยือน วิมเบิลดัน ของกุนซือ เนียล อ๊าดลีย์ อยู่ในสภาพทีมที่ค่อนข้างฟูลทีมพอสมควรก่อนลงสนามหลังจะขาดเพียงแค่ คเวซี่ อัปเปียห์ (9 นัด/2 ประตู)หัวหอกชาวกาน่าเพียงรายดียวเท่านั้นที่ยังบาดเจ็บ ส่วนทีเด็ดในแดนหน้าพวกเขาจะวาง แอนดริว บาร์ชแฮม(11นัด/2ประตู)เป็นตัวจบสกอร์โดใช้ เลียม ทร็อตเตอร์(9นัด)คอยปั้นเกม

เป็ป เฆโลเตส รุยซ์ เฮดโค้ชเลือดกาตาลัน มีปัญหาให้ต้องกังวลใจพอสมควรในเรื่องตัวผู้เล่นบาดเจ็บ จึงไม่แปลกที่ชั่วโมงนี้พวกเขาจะมีผลงานหลุดฟอร์มให้เห็น โดยเฉพาะการขาดหายไปของสองแกนหลักแนวรุกอย่าง ร็อบ ฮอลล์ (10 นัด/2 ประตู)และ จิโน่ ฟาน เคสเซล (9 นัด/2 ประตู) ทำให้ตัวชูโรงจะเหลือเพียงแค่ เวส โธมัส(7นัด4ปะตู)ที่พอฝากความหวังในการจบสกอร์ได้เท่านั้น

ส่วน ฟลีทวู้ด ของกุนซือ อูเว่ รอสเลอร์ เตรียมพาเหรดขนตัวเก่งจาก ลีก โทรฟี่ กลางสัปดาห์ลงตัวจริงกันอีกครั้งนำโดยทีเด็ดแนวรุกอย่าง เดวอนเต้ โคล (7 ประตู), แอชลี่ย์ ฮันเตอร์ (3 ประตู) และ ฮิวูล่า มายิฟุยล่า (3 ประตู)ลงประจำผัง 11 ตัวจริงตามคาด อย่างไรก็ดีพวกเขาอาจจะมีปัญหาในการแก้เกมเล็กน้อยเนื่องจากต้องลุ้นว่า คอเนอร์ แม็คเอเลนี่ (3 นัด/2 ประตู)ที่มีอาการบาดเจ็บจะฟิตทันเป็นตัวเลือกเกมนี้หรือไม่

ดีเร็ค อดัม นายใหญ่ประจำทีมมีเรื่องให้ต้องปรับแก้กันพอสมควรหลังทีมยังอยู่ในฟอร์มย่ำแย่จนรั้งบ๋วยในยามนี้ แถมสภาพความพร้อมของทีมยังคงไม้เป็นใจเมื่อพวกเขาจะไร้เงา แกรี่ มิลเลอร์ (10 นัด) กับ ซอนนี่ แบร๊ดลี่ย์ (9 นัด/1 ประตู) สองแดนกลางตัวหลักที่พากันติดโทษแบนในเกมนี้ทำให้พวกเขาจำเป็นต้องส่ง ยาคุบ โซโคลิค กองกลางอะไหล่เลือดเช็กออกสตาร์ทเกมลีกในนัดนี้ พร้อมกับฝากความหวังไว้ที่ เจค ยาร์วิส กับ นาธาน บลิสเซต คอยจบสกอร์ร่วมกันในแดนหน้า

พอล คุก นายใหญ่ประจำทีม จะหมดสิทธิ์ใช้งานแน่ๆก็คือในรายของ โอเว่น อีแวนส์, มาติย่า ซาร์กิช และ แซม มอร์ซี่ ที่ติดภาระกิจรับใช้ทีมชาติชุดเล็ก ทำให้แข้งรายอื่นอย่าง อีวาน โตนี่ย์ (10 นัด/2 ประตู) กับ รีซ เจมส์ (9 นัด) จะถูกวางให้ผนึกกำลังกันในแนวรับพร้อมกับใช้ วิลเลี่ยม กริ๊กก์ (11 นัด/3 ประตู) กับ เกวิน มาสซี่ย์ (11 นัด/3 ประตู)คอยเป็นทีเด็ดในการขึ้นเกมสุดสัปดาห์นี้หลังทั้งคู่โชว์ฟอร์มร้อนแรงอยู่ต่อเนื่อง

นายใหญ่ เกรแฮม อเล็กซานเดอร์ เตรียมขนแกนหลักกลับมาลงสนามเกือบครบเซ็ตโดยเฉพาะคู่ปราการหลัง คอเนอร์ ทาวน์เซ่นด์ (8 นัด/1 ประตู) กับ ชาร์ลี กู้ด(-)ที่สลัดเดี้ยงกลับมาผนุกกำลังกันอีกครั้ง อย่างไรก็ดีแข้งหน้าใหม่อย่าง เคลย์ตัน ลูอิส หัวหอกป้ายแดงชาวนิวซีแลนด์ยังคงมีปัญหาเรื่องใบอนุญาตทำงานในประเทศทำให้ยังไม่มีชื่อในสัปดาห์นี้ ส่วนตัวทีเด็ดอย่าง รอรี่ แม็คอาร์เดิ้ล และ นีล บิชอป จะกลับมาออกสตาร์ทอีกครั้งหลังได้พักในเกม ลีก โทรฟี่

ขณะที่ทางด้าน พอล วอร์น นายใหญ่ ร็อตเตอร์แฮม จำเป็นต้องปรับทัพในสนามหลัง มาเร็ค โรแดค (6 นัด) ติดภาระกิจรับใช้ทีมชาติสโลวาเกียชุดเล็กและจะเป็น ริชาร์ด โอดอนเนล (5 นัด) เสียบแทนตำแหน่ง พร้อมกับวาง คีฟเฟอร์ มัวร์ (11 นัด/9 ประตู) เป็นตัวชูโรงในการจบสกอร์ ส่วนแข้งเดี้ยงในเกมนี้พวกเขาพลาดใช้งาน จอน เทย์เลอร์ (8 นัด/3 ประตู) ตัวริมเส้นรวมไปถึง เบน เพอร์ริงตัน (4 นัด)กองกลางดาวโรจน์ที่เจ็บหนักถึงขั้นพักยาวหนึ่งเดือนเต็ม

คีธ ฮิลล์ ผู้จัดการทีม เตรียมขนชุดหลักกลับมาประจำตำแหน่งอีกครั้งหลังใช้ชุดสำรองลงบู๊ในรายการ ลีก โทรฟี่ มาหมาดๆ ซึ่งในเกมนี้พวกเขาจะกลับมาใช้ แมต ดัน (11 นัด/2 ประตู)จับคู่ร่วมกับ สตีฟ เดวี่ส์ (4 ประตู)ในบทบาทกองหน้าตัวเป้าโดยมี โจ ราฟเฟอร์ตี้ (8 นัด/1 ประตู) เป็นตัวชูโรงจากแกนแนวรับ ส่วนตัวเจ็บจะขาดเพียงแค่ คีธ คีน(1นัด)อะไหล่แดนกลางเพียงรายเดียวเท่านั้น

ส่วนทีมเยือน เบลเยียม ของนายใหญ่ โรเบร์โต มาร์ตีเนซ อยู่ในสถานการณ์ลอยตัวหลังพาทีมทะลุไปเล่นรอบสุดท้ายแล้ว ซึ่งในเกมนี้พวกเขาจะขาดทั้ง โรเมลู ลูกากู ที่เจ็บข้อเท้ารวมไปถึง คริสติย็อง เบนเตเก้ , มุสซ่า เดมเบเล่ และ รัดย่า เนียงโกลัน ที่บาดเจ็บอยู่ก่อนแล้ว ทำใหเโฉมหน้าในแนวรุกจะเป็นโอกาสของ ดริส เมอร์เท่นส์ ลงมาแทนที่ โรเมลู ลูกากู โดยมี เควิน เดอ บรอยน์ กับ เอเด้น อาซาร์ คอยประสานงาน

เบลเยี่ยม (3-4-3) : ธิโบต์ กูร์ตัวส์ - โทบี้ อัลแดร์ไวเรลด์, แยน แฟร์ต็องเก้น, แว็งซ็อง ก็องปานี - โธมัส มูนิเย่ร์, ยูรี ตีเลอม็องส์, มารูยาน เฟลไลนี่, ยานนิค การ์ราสโก้ - เควิน เดอ บรอยน์, ดริส เมอร์เท่นส์, เอเด้น อาซาร์

เมห์เหม็ด บาซดาเรวิช ผู้จัดการทีมของ บอสเนียฯ ยังคงต้องจัดหนักจัดเต็มในนัดนี้หลังทีมอันดับ 3 อย่าง กรีซ มีแต้มห่างเพียงคพแนนเดียวเท่านั้นจาก 2 เกมที่เหลือ ซึ่งความพร้อมก่อนลงสนามพวกเขาไม่มีแกนหลักติดโทษแบนให้ต้องกังวลใจเพราะการขาดหายไปของ เออร์วิน ซูคาโนวิช ไม่น่าจะส่งผลเท่าใดนัก แต่พวกเขาจะหมดสิทธิ์เรียกตัว โยโซ่ ซิมูโนวิช กับ เออร์มิน บิซัคซิช ที่มีปัญหาบาดเจ็บในเวลานี้

บอสเนียฯ (4-4-2) : อัสเมียร์ เบโกวิช - เออร์มิน บิซัคซิช, โทนี่ ซุนยิช, ออนเยน วรานเยส, เซอาด โคลาซินัก - มาโต้ ยายาโล่, ดานิเยล มิลิเซวิช, เซน๊าด ลูลิช, มาโต ยายาโล่ - เอดิน เซโก้, เวดาด อิบิเซวิช

ดิ๊ค อั๊ดโวคาท กุนซือของทีมยังพอมีลุ้นผ่านเข้ารอบจากการตามหลัง สวีเดน ทีมอันดับ 2 เพียงแค่ 3 แต้มจากโปรแกรมให้เล่นอีก 2 นัด ซึ่งเกมนี้ยังคงเรียกแกนหลักตัวเก๋าอย่าง อาร์เยน ร็อบเบน ลงปั้นเกมรุกร่วมกับ ดาวี คลาสเซ่น และ เมมฟิส เดอปาย โดยมี วินเซนต์ ยานส์เซ่น เป็นหน้าเป้า ส่วนตัวเก๋าอย่าง เวสลี่ย์ สไนจ์เดอร์ (132 นัด/31 ประตู), เจฟฟรี่ บรูม่า (25นัด/1 ประตู) และ คลาส แยน ฮุนเตลาร์ (76 นัด/42 ประตู) จะไม่มีชื่อในเกมนี้

ฮอลแลนด์ (4-2-3-1) : แยสเปอร์ ชิลเลสเซ่น - เคนนี่ เตเต้, โจเอล เวลท์มัน, เวสลี่ย์ โฮ้ด, ดาลี่ย์ บลินด์ - เควิน สตรู้ทมัน, จอร์จินิโอ ไวจ์นัลดุม - อาร์เยน ร็อบเบน, ดาวี คลาสเซ่น, เมมฟิส เดอปาย - วินเซนต์ ยานส์เซ่น

อิกอร์ ครูเชนโก้ เฮดโค้ชประจำทีมไม่เหลือแรงจูงใจอะไรให้ลุ้นแล้วหลังนำทีมจมบ๋วยอยู่เวลานี้ ซึ่งความพร้อมก่อนเกมจะได้เห็นบรรดาดาวรุ่งได้ลงมาเก็บเกี่ยวประสบการณ์พร้อมกับพ่วงตัวเก๋าอย่าง สตานิสลาฟ ดราฮุน (44 นัด/5 ประตู)กับ อิฮาร์ สตาเซวิช (31 นัด/2 ประตู) ส่วนแดนหน้าจะใช้ มิคาลาย ซิกเนวิช หัวหอกตัวเป้าและมี ซาร์เกย์ บาลาโนวิช กับ นิคิต้า คอร์ซุน เป็นตัวสนับสนุนซึ่งทั้งหมดยังต้องพิสูจน์ตัวเองอีกพอสมควร

เบลารุส (4-5-1) : เชอร์นิค - อิฮาร์ เบอร์โก้, มัคซิม วาลัซโก้, ปาลิตเซวิช, มัตสเวย์ชิค - อเล็กเซ ริออส, สตานิสลาฟ ดราฮุน, อิฮาร์ สตาเซวิช, ซาร์เกย์ บาลาโนวิช, นิคิต้า คอร์ซุน - มิคาลาย ซิกเนวิช

ส่วนทีมเยือน เอกวาดอร์ แทบจะหมดลุ้นผ่านเข้ารอบไปแล้วหลังพ่าย เปรู 1-2 ในเกมเมื่อเดือนที่ผ่านมา อย่างไรก็ดี จอร์เก้ เซลิโอ้ กุนซือป้ายแดงประจำทีมยังคงยึดแกนหลักหน้าเดิมลงบู๊กันแทบยกเซ็ตพร้อมกับวาง อันโตนิโอ วาเลนเซีย กัปตันทีมขึ้นเกมทางริมเส้นฝั่งขวาในระบบ 4-4-2 โดยมี เอ็นเนอร์ วาเลนเซีย กับ โรแบร์โต้ เออร์โดเนซ เป็นทีเด็ดหน้าเป้าร่วมกัน

เอกวาดอร์ (4-4-2) : แม็กซิโม่ บันกูร์เอร่า - เปโดร เบลาสโก, ดาริโอ้ ไอมาร์, โรเบิร์ต อเบล อาร์โบเลด้า, คริสเตียน รามิเรซ - อันโตนิโอ วาเลนเซีย, โฆเซ่ ฟรานซิสโก้, เจฟเฟอร์สัน โอเรยูเอล่า, เรนาโต้ อิบาร์ร่า - เอ็นเนอร์ วาเลนเซีย, โรแบร์โต้ เออร์โดเนซ

ปิซซี่ นายใหญ่เลือดสเปนอยู่ในสถานการณ์เข้าตาจนสุดๆหลังแพ้รวดมา 2 เกมติดรั้งอันดับ 6 ของตารางในเวลานี้ อย่างไรก็ดียังพอมีเรื่องให้ได้ใจชื้นอยู่บ้างหลังแข้งแกนหลักต่างอยู่กันครบเซ็ตนำโดย อาร์ตูโร่ วิดัล พร้อมลงเป็นแกนหลักในแดนกลางในระบบ 4-3-1-2 โดยมี ปาโบล เอร์นานเดซ และ ฟราซิสโก้ ซิลวา เป็นตัวสนับสนุน ส่วนแดนหน้าเตรียมวางแข้งแนวรุกหมายเลขหนึ่งอย่าง อเล็กซิส ซานเชซ ลงจับคู่กับ เอดูอาร์โด้ วาร์กัส ตามคาด

ชิลี (4-4-2) : เคลาดิโอ บราโว่ - เมาริซิโอ อิสล่า, แกรี่ เมเดล, กอนซาโล่ ยาร่า, ยูเจนิโอ เมน่า - อาร์ตูโร่ วิดัล, ฟรานซิสโก้ ซิลวา, ปาโบล เอร์นานเดซ, จอร์เก้ วัลดิเวีย - เอดูอาร์โด้ วาร์กัส, อเล็กซิส ซานเชซ

ส่วนทีมเยือน ปารากวัย ทีมอันดับ 7 ของตาราง ยังพอมีลุ้นทำอันดับเพลย์ออฟไปเล่นฟุตบอลโลกอยู่บ้างแต่โจทย์ของพวกเขาคือต้องเก็บชัยให้ได้สถานการณ์เดียวแถมยังต้องไปลุ้นผลของคู่อื่นอีกต่างหาก ซึ่งในเกมนี้กุนซือใหญ่ ฟรันซิสโก อาร์เซ พร้อมจัดชุดที่ดีที่สุดลงสนามพร้อมกับวาง ลูคัส บาร์ริออส เป็นทีเด็ดหน้าตัวเป้าพร้อมกับใช้ ออสการ์ โรเมโร่, มิเกล อัลมิรอน และ มิเกล ซามูดิโอ เป็นตัวสนับสนุน

ปารากวัย (4-2-3-1) : อันโตนี่ ซิลบา - เปาโล ดา ซิลวา, กุสตาโว่ โกเมซ, เปาโล ดา ซิลวา, จูเนียร์ อลองโซ่ - คริสเตียน ริเวรอส, วิคเตอร์ กาเซเรส - ออสการ์ โรเมโร่, มิเกล อัลมิรอน, มิเกล ซามูดิโอ - ลูคัส บาร์ริออส

เจ้าบ้าน โคลอมเบีย ยังคงต้องการเก็บ 3 แต้มเพื่อการันตีพื้นที่ไปเล่นฟุตบอลโลกรอบสุดท้ายหลังโชว์ฟอร์มได้เข้าตาจนรั้งอันดับ 3 ในเวลานี้ ส่วนสภาพความพร้อมก่อนลงสนามนายใหญ่ โฮเซ เปเกอร์มัน จำเป็นต้องเช็คความฟิตของ ฮาเมส โรดริเกซ เพลย์เมกเกอร์ตัวเก่งที่ยังไม่ฟิตสมบูรณ์นัก ทว่ายังดีที่ตัวชูโรงตำแหน่งอื่นอย่าง ราดาเมล ฟัลเกา หัวหอกโมนาโกพร้อมลงจับคู่กับ ยิมมี่ ชาร่า ในแดนหน้าเช่นเดียว ดาวินสัน ซานเชซ แนวรับของ สเปอร์ส ลงลงปักหลักตัวจริงในเกมนี้

โคลอมเบีย (4-4-2) : ดาวิด ออสปิน่า - ซานติอาโก้ อาริอัส, ดาวินสัน ซานเชซ, ออสการ์ มูรีโย่, แฟร้งค์ ฟาบรา - การ์ลอส ซานเชซ, วิลมาร์ บาร์ริออส, ฮวน กวาดราโด้, ฮาเมส โรดริเกวซ - ยิมมี่ ชาร่า, ราดาเมล ฟัลเกา

ทีมชาติ เปรู จัดอยู่ในสารบบไปเล่นฟุตบอลโลกรอบสุดท้ายเช่นกัน หลังทำผลงานได้ยอดเยี่ยมชนะรวด 3 เกมติดจนรั้งอันดับ 4 ในยามนี้ อย่างไรก็ดีเกมนี้มีการบ้านให้ ริการ์โด้ กาเรก้า บอสใหญ่ต้องปวดหัวอยู่ไม่น้อยเมื่อตัวหลักขาประจำอย่าง อังเดร คาริลโล่, คริสเตียน กูเอว่า, เปาโล เฮอร์ตาโด้ และ คริสเตียน รามอส ต่างถูกคาดโทษพร้อมกันในเกมนี้ ทว่ายังพอมีข่าวดีอยู่บ้างเมื่อ เจฟเฟอร์สัน ฟาร์ฟาน ฟิตทันเป็นตัวเลือกในแดนหน้า แต่คาดว่ายังคงใช้ เปาโล เกอร์เรโร่ เป็นทีเด็ดในระบบหน้าเดี่ยวไปก่อน

เปรู (4-2-3-1) : เปโดร กาเญเซ่ - อัลโด กอร์โซ่, มิเกล อาเราโฆ่, อัลเบร์โต้ โรดริเกวซ, มิเกล เทราโก้ - เรนาโต้ ตาเปีย, โยชิมาร์ โยตุน - อันเดร การ์ริโญ่, แอนเดอร์สัน ซานตามาเรีย, เอดิสัน ฟลอเรส - เปาโล เกอร์เรโร่

ทัพ "ฟ้า-ขาว" จัดว่าอยู่ในสถานการณ์เข้าตาจนหลังเสมอติดต่อกันสองนัดติดและรั้งอันดับ 5 ในโซนเพลย์ออฟเวลานี้ ส่วนความพร้อมก่อนลงสนามกุนซือใหญ่ ฮอร์เก้ ซามเปาลี่ จะทำการเรียกตัว เฟอร์นานโด กาโก้ กลับมาติดทีมอีกครั้งในรอบ 10 ปี ส่วนแข้งแกนหลังที่จะหมดสิทธิ์ใช้งานคงหนีไม่พ้น เซร์กิโอ อกูเอโร่ หัวหอกฟอร์มแรงของ แมนฯซิตี้ ที่เพิ่งประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์ ทำให้ทีเด็ดแดนหน้าเกมนี้จะใช้ เมาโร อิคาร์ดี้ ศูนย์หน้าฟอร์มฮอตของ อินเตอร์ลงประสานงานร่วมกับ อังเคล ดิ มาเรีย และ ลีโอเนล เมสซี ในระบบ 3-4-3 ส่วน เปาโล ดีบาล่า แข้งทีเด็ดอีกรายจะมีชื่อเป็นตัวสำรองเท่านั้น

อาร์เจนติน่า (3-4-3) : เซร์กิโอ โรเมโร่ - กาเบรียล เมอร์กาโด้, เฟเดริโก้ ฟาซิโอ, นิโกลัส โอตาเมนดี้ - เอ็นโซ เปเรซ, เอแวร์ บาเนก้า, ลูคัส บีย่า, เอมิเลียโน่ ริโกนี่ - อังเคล ดิ มาเรีย, ลีโอเนล เมสซี, เมาโร อิคาร์ดี้

ทัพ "จอมโหด" ของกุนซือ ออสก้า ตาบาเรซ อยู่ในช่วงเร่งเครื่องเต็มสูบจึงไม่แปลกที่พวกเขาจะยันเสมอ อาร์เจนติน่า และบุกไปชนะ ปารากวัย ขึ้นมารั้งอันดับสองของตารางได้ ซึ่งในเกมนี้พวกเขาเตรียมกับมาใช้ หลุยส์ ซัวเรซ กองหน้าตัวเก่งประจำทีมที่กลับเข้าสู่แคมป์ทีมชาติอีกครั้งหลังบาดเจ็บเมื่อเดือนที่แล้วพร้อมกับลงจับคู่กับ เอดิสัน คาวานี่ หอกสตาร์ดังอีกรายทำให้ คริสเตียน สตูอานี่ ต้องหลุดเป็นตัวสำรองอีกครั้ง

อุรุกวัย (4-4-2) : แฟร์นันโด มุสเลร่า ; อัลวาโร เปเรร่า, ดีเอโก้ โกดิน, โฮเซ่ กิเมเนซ, มาร์ติน กาเซเรส ; นาอิตาน นานเดซ, เอจิดิโอ้ อเรวาโล่, อัลบาโร่ กอนซาเลซ, คริสเตียน โรดริเกซ ; เอดินสัน คาวานี่, คริสเตียน สตูอานี่

เจ้าบ้าน เวเนซูเอล่า ทีมบ๋วยของตารางยังคงสู้เต็มที่แม้จะไม่ได้มีลุ้นผ่านเข้ารอบเหมือนทีมอื่นๆ ซึ่งในเกมนี้นายใหญ่ ราฟาเอล ดูดาเมล ยังคงใช้ชุดที่ดีที่สุดลงสนามนำโดย โจเซฟ มาร์ติเนซ อดีตแข้งโตริโน่ที่ไปคว้าแข้งกับ แอตแลนต้า ในศึกเมเจอร์ลีก ลงจับคู่กับ ซาโลมอน รอนดอน กองหน้าร่างใหญ่จาก เวสต์บรอมวิช อัลเบี้ยน ในระบบ 4-4-2 ส่วนแผงแดนกลางยังคงวางตัวหลักหน้าเดิมอย่าง เซร์คิโอ กอร์โดบา และ ยังเกล เอร์เรร่า ลงบู๊ตามคาด

เวเนซูเอล่า (4-4-2) : วาริเกอร์ ฟารินเญซ ; บิคตอร์ การ์เซีย, ฆอน ชานเซยอร์, มิเกล บิญานูเอบ้า, รอล์ฟ เฟลท์เชอร์ ; เซร์คิโอ กอร์โดบา, ยังเกล เอร์เรร่า, จูเนียร์ โมเรโน่, จอห์น มูริโช ; ซาโลมอน รอนดอน, กริสเตียน ซานโต๊ส

ตีเต้ เทรนเนอร์ บราซิล เตรียมปรับทัพทดลองทีมกันยกใหญ่หลังเป็นทีมแรกที่ผ่านเข้ารอบไปเล่นฟุตบอลโลกรอบสุดท้าย ซึ่งในเกมนี้พวกเขาได้เรียกนักเตะหน้าใหม่เข้ามาติดทีมพอสมควรไม่ว่าจะเป็น ดานิโล แนวรับแมนฯซิตี้ และแข้งเก๋าในประเทศอย่าง ดีเอโก้ และ เฟร็ด นอกจากนี้พวกเขาจะหมดสฺทธิ์ส่ง เนย์มาร์ ดาวยิงหมายเลขหนึ่งลงบู๊แน่ๆหลังบาดเจ็บระหว่างซ้อมจากการเข้าปะทะของ เปาลินโญ่ ทำให้โฉมหน้าในแนวรุกจะเหลือ วิลเลี่ยน ที่พอเป็นตัวชูโรงได้ในเกมนี้ ส่วนตัวดังจากลีกยุโรปอย่าง โรแบร์โต้ เฟียร์มิโน่,เปาลินโญ่ หรือ ฟิลิปเป้ คูตินโญ่ จะรอสแตนบายด์อยู่ที่ม้านั่งข้างสนาม

บราซิล (4-3-3) : อาลิสสัน - ดานิโล, เจเมอร์สัน, จอร์จ มาร์โก้ เดอ โอลิเวียร่า, อเล็กซ์ ซานโดร - ดีเอโก้, เฟร็ด, เรนาโต้ ออกุสโต้ - วิลเลี่ยน, อาร์เธอร์, ดีเอโก้ ทาร์เดลลี่

เมาริซิโอ โซเรีย ผู้จัดการทีมของ โบลิเวีย จะหมดสิทธิ์ใช้งานแน่ๆก็คือในรายของ อเลฮานโดร ชูมาเซโร่ จอมทัพประจำทีมที่สะสมใบเหลืองครบจากเกมชนะ ชิลี เมื่อต้นเดือนที่ผ่านมา ส่วนในรายของแบ็กซ้ายอย่าง เอ็นริเก ฟลอเรส และแดนกลางอย่าง ปาโบล เอสโกบาร์ ไม่ได้ถูกเรียกตัวติดทัพเข้ามาในคราวนี้ ส่วนคีย์แมนสำคัญประจำทีมทางด้านหัวหอกอย่าง มาเชโล โมเรโน่ ได้รับเสียงชื่นชมพอสมควรจากฟอร์มที่เล่นให้กับ หวูฮั่น ซอลล์ ในลีกจีนจากการทำประตูไป 19 เม็ดพ่วงด้วยแอสซิสอีก 7 ครั้ง และน่าจะถูกวางเป็นทีเด็ดร่วมกับ ฮวน เฟอร์โร และ ฮวน อัลเซ่ ในระบบ 3-4-3

โบลิเวีย (3-4-3) : การ์ลอส ลัมเป - ฆวน บัลเบร์เด้, โรนัลด์ รัลเดส, เอ็ดเวิร์ด เซ็นเตโน่ - ดิเอโก้ บาฆาราโน่, ยาสมานี่ กัมโปส, ราอูล กาสโตร, โฆเซ่ ซาเกรโด้ - ฮวน เฟอร์โร, ฮวน อัลเซ่, มาเชโล โมเรโน่